ชีวิต นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน ของ น้ำบุษ หัวหน้า #ทีมเจ๊เอ๊ด
น้ำบุษ หัวหน้าทีมแนะแนวเรียนต่อญี่ปุ่น #เจ๊เอ๊ด  ชีวิต นักเรียนทุนแลกเปลี่ยนนักเรียนทุนแลกเน้ำบุษ หัวหน้าทีมแนะแนวเรียนต่อญี่ปุ่น #เจ๊เอ๊ด – ชีวิต นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน

นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน ญี่ปุ่น

ชีวิต นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน ญี่ปุ่น

ชอบญี่ปุ่นทุกๆ อย่างมาตั้งแต่เด็ก เพราะมีคุณแม่เป็นคนจุดประกาย

คุณแม่ทำงานบริษัทญี่ปุ่นมาก่อน มีเพื่อนชาวญี่ปุ่นหลายคน ที่บ้านมีของที่ระลึก หนังสือ รูปถ่ายจากญี่ปุ่นมากมาย คุณแม่ก็ชอบเล่าเรื่องคนญี่ปุ่นให้ฟัง โตมาก็หลงรักและผูกพันกับประเทศนี้ไปโดยไม่รู้ตัว

พออยู่ม.ต้น ก็เริ่มชอบนักร้องญี่ปุ่นค่าย Johnny’s Junior ตอนนั้นคนที่รู้จักศิลปินค่ายนี้ ยังเป็นคนกลุ่มน้อยมาก สมัยนั้นสยามนี่เป็นแหล่งรวมเด็กที่ชอบ Johnny’s Junior เลย มานั่งดูรูปกัน นั่งเมาท์มอย ซ้อมเต้นตาม โอ๊ยยย แอบคิดถึงเมื่อวันวาน ( นี่รู้สึกแก่มากกก )

เพราะนักร้องค่าย Johnny’s Junior ทำให้เราสามารถจำอักษรฮิรางานะ คาตาคานะ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนั้นเอาชื่อศิลปินมาคัดอักษรญี่ปุ่น เป็นร้อยๆชื่อเลย (ความติ่งช่วยคุณได้จริงๆ นะ ????)

ม.ปลาย เลือกเรียนสายวิทย์ อาศัยเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียนสอนภาษา เวลาเรียนเราจะมีความสุขและรู้สึกคลายเครียด แต่ด้วยความที่เรียนแค่อาทิตย์ละครั้ง เลยทำให้ความรู้ภาษาญี่ปุ่นไม่แน่นนัก

ตอนจะเข้ามหาวิทยาลัย ก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาเรียนสายภาษา และสอบเข้าเรียนที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้

แต่………เรียนเอกภาษาอังกฤษ

ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทิ้งภาษาญี่ปุ่น เลือกเรียนเป็นวิชาโท บอกเลยว่า ทุ่มเทมากกว่าวิชาเอกอีกค่า จนเพื่อนๆ เรียกว่า น้ำบุษสาวเอก Eng หัวใจ Jap 555 ????

ทุนเรียนต่อญี่ปุ่น

พอใช้ชีวิตนักศึกษาไปเรื่อยๆ จนปีที่ 3 ก็มาเจอกับ ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน ประเทศญี่ปุ่น ของสำนักงานวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ตอนนั้นทำให้นึกถึงพี่คนนึงที่ชอบศิลปิน Johnny’s JR และเค้าได้ ทุนไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นผ่านมหาวิทยาลัยที่ไทย เค้าเป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจที่ทำให้บุษเข้ามาเรียนที่นี่ เพื่อให้ได้โอกาสไปเป็น นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน ญี่ปุ่น เลยคิดว่ายังไงต้องสมัครดู

เงื่อนไขการสมัครคือ ต้องมีเกรด 3.00 ขึ้นไป และต้องมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นระดับ 3-4 จากนั้นต้องผ่านการสัมภาษณ์

ตอนนั้นความกังวลใจมาเต็ม ทั้งกลัวจะไม่ได้ กลัวจะได้ (กลัวทำไม? คือตอนนั้นกลัวว่าถ้าได้ไปญี่ปุ่นแล้วจะไม่ได้เรียนจบพร้อมเพื่อนๆ แถมโอนหน่วยกิจไม่ได้ซักวิชาเลย) กลัวเตรียมเอกสารไม่ทัน กลัวคณะกรรมการ กลัวจะตอบสัมภาษณ์ได้ไม่ดี กลัวคู่แข่ง (ที่มีแต่เด็กเอกญี่ปุ่น มีคณะอื่นด้วยแต่น้อยกว่าเอกญี่ปุ่น) กลัวและกังวลไปหมด

ทว่า

 

“แม่…บุษได้ทุนไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Kansai ที่โอซาก้า 1 ปี แล้วนะ”

โทรบอกคุณแม่ คุณแม่บอกคุณพ่อ แถมบอกต่อญาติๆ รู้กันฉับไวยิ่งกว่าส่งไลน์สมัยนี้ เพื่อนๆ ก็มาแสดงความยินดี ตอนนั้นก็ดีใจมากนะ แล้วก็ฉุกคิดว่า เราจะไม่ได้เรียนจบพร้อมเพื่อนๆ นะ เสียใจเหมือนกัน… แต่เพื่อนดีมากกก สนับสนุน เชียร์ ให้กำลังใจ

หาทุนเรียนต่อญี่ปุ่น

ก่อนไปญี่ปุ่น ไม่รู้เรื่องเลยว่าต้องเตรียมอะไรไป ไปถึงแล้วต้องทำอะไรบ้าง (พอเข้ามาทำงานเจเอ็ดฯ แล้วแอบอิจฉานักเรียนนะ มีปฐมนิเทศ มีเอกสารการเตรียมตัวให้กันแบบลึกซึ้งมาก)

แถมมารู้อีกทีที่หลังว่า แถบคันไซมีชั้นไปคนเดียว! (ว้ายตั่ยแล้วววว ????) ในมหาวิทยาลัยที่จะไปก็มีตัวเองเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนคนไทยคนเดียว! แถมต้องบินไปญี่ปุ่นเองคนเดียวด้วย! ????????????

ยิ่งวันใกล้ๆบินไปญี่ปุ่น ความกังวลมาเต็ม ความคิดเตลิดเปิดเปิง… ตม.ไทยจะให้เราผ่านมั้ย ไปถึงญี่ปุ่นจะโดนตม.กักมั้ย ไปถึงแล้วจะเป็นยังไงบ้าง กังวลจนประสาทเสียเลยทีเดียว…

แต่พอคิดว่า การไปเรียนที่ญี่ปุ่นนี้เป็นความฝันและความตั้งใจของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ไม่กลัว!

เดินทางไปถึงสนามบินคันไซ จ.โอซาก้า ในวันที่ 9 กันยายน ปี 2009 ( นี่ไม่ได้กะเดินทางแบบเอาฤกษ์เอาชัยนะ มหาวิทยาลัยกำหนดมา)

สิ่งที่ประทับใจตอนที่เหยียบญี่ปุ่นทันทีเลยคือ กลิ่น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นในสนามบิน กลิ่นอากาศนอกสนามบิน กลิ่นในรถบัส กลิ่นสภาพแวดล้อมข้างนอก ทำไมกลิ่นประเทศนี้มันเป็นกลิ่นที่สะอาดขนาดนี้! ตกใจและประทับใจมาก จำได้จนถึงวันนี้ เป็นความประทับอย่างแรกจากประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ประทับใจกับกลิ่นได้ไม่นาน ก็ต้องตกใจกับการเดินทางจากสนามบินไปหอพัก ตอนแรกเข้าใจว่ามีคนมารับที่สนามบิน หมายถึงเค้าขับรถมารับ… แต่ไม่ใช่เลย มีคนพาเราขึ้นรถบัสนั่งจากสนามบินไปตัวเมืองโอซาก้า และพาต่อรถไฟไปสถานีใกล้หอพัก จากนั้นลากกระเป๋าเดินต่อไปอีก 10 นาทีจนถึงหอพัก จริงๆ มันจะไม่ลำบากนะ ถ้าฝนไม่ตก! และหอไม่ได้อยู่บนเขา!

ตัวเราเอาแค่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปใบเดียวกับกระเป๋าโน๊ตบุคยังโอดโอยขนาดนี้ หันไปมองเพื่อนชาติอื่น นางขนมา 3 กระเป๋า ลากมาได้ไง(วะ) เห็นละเหนื่อยแทน ????

หอพักที่อยู่เป็นหอพักของมหาวิทยาลัย เดินจากมหาวิทยาลัยได้ประมาณ 10 นาที เป็นหอหญิงล้วน ให้คนต่างชาติกับญี่ปุ่นอยู่ด้วยกัน และเพื่อการได้สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นจริงๆ นักเรียนหอนี้ต้องอาบน้ำห้องน้ำรวมจ้า……

ช๊อกไปเล้ย……

ของดีจากประเทศไทย มาโชว์ไกลถึงญี่ปุ่นค่า…

ช็อก เขิน เครียด บอกอารมณ์ไม่ถูกเลยจริงๆ แต่โชคดี(รึเปล่านะ) ที่หอพักจะมีห้องอาบน้ำฝักบัวให้ แต่จะต้องเสีย 100 เยน อาบได้ 10 นาที ถ้าอาบวันละสองครั้งก็ 200 เยน ถ้าอาบ 30 วัน ก็ตกเดือนละ 6,000 เยนเลยนะ!

ทนอาบฝักบัวแบบนี้ไปได้ 1 เดือน คิดว่าไม่โอเคละ เราต้องเข้าถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นจริงๆ แล้ว (จริงๆ ไม่ได้คิดงั้นหรอก.. มันเปลืองเงิน????)

เพื่อนเกาหลีชวนไปอาบน้ำด้วยกันพอดีเลย ครั้งแรกนี่เขินมากกกก เพราะต้องถอดทั้งหมดเพื่อเข้าอาบน้ำรวมหัวเราะแก้เขินตลอด จนทำเพื่อนเกาหลีเขินไปด้วย…..แต่ในที่สุดการอาบน้ำกับคนอื่นครั้งแรกก็ผ่านไปด้วยดี แถมติดใจด้วย

ทุนแลกเปลี่ยน ที่ญี่ปุ่น

มหาวิทยาลัยที่ไปเรียนชื่อว่า Kansai University วิทยาเขต Suita เป็นหลักสูตรแลกเปลี่ยนที่นักเรียนต่างชาติมาเรียนภาษาญี่ปุ่นและสามารถเข้าเรียนวิชาคณะกับนักศึกษาชาวญี่ปุ่นได้

มหาวิทยาลัยสวย น่าเรียน นักศึกษาต่างชาติสามารถใช้บริการห้องสมุด โรงอาหาร ห้องคอม ฯลฯ ได้เหมือนกับนักศึกษาชาวญี่ปุ่นเลย

สำหรับนักศึกษาต่างชาติจะมีแผนกดูแลนักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัย หรือเรียกว่า 国際部 Kokusaibu ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่นคอยดูแลนักศึกษาอย่างใกล้ชิด ทั้งช่วยเรื่องหอพัก การเลือกวิชาเรียน แนะนำกิจกรรมเกี่ยวกับญี่ปุ่น แนะนำการใช้ชีวิตต่างๆ ในญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เราคลายความกังวลไปได้เยอะเลย เจ้าหน้าที่บางคนก็ยังสนิทสนมกันมาถึงทุกวันนี้เลยค่ะ

การเรียนการสอนก็จะเป็นรูปแบบมหาวิทยาลัย ที่จะมีวิชาบังคับและวิชาเลือก วิชาบังคับที่ได้เรียนก็จะเป็นวิชาภาษาญี่ปุ่นที่เรียนแกรมม่า คำศัพท์ คันจิ วัฒนธรรมญี่ปุ่น ฯลฯ

ส่วนวิชาเลือกก็จะมีหลายแบบ เช่น ภาษาคันไซ วัฒนธรรมโอซาก้า Cross-Cultural และอื่นๆ ซึ่งมีให้เลือกเยอะมาก มีชั้นเรียนที่ด้วยภาษาญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษเลย ซึ่งวิชาเลือกนี้ จะมีนักศึกษาชาวญี่ปุ่นมาเรียนด้วย ทำให้ได้เพื่อนจากในชั้นเรียนหลายคน

ชีวิตนักเรียนทุน

ทุนที่ญี่ปุ่น

จำได้ว่าตอนเข้าเรียนภาษาญี่ปุ่นวิชาบังคับครั้งแรก เครียดมาก เพราะถูกให้เข้าไปเรียนในชั้นระดับสูง ซึ่งความรู้จริงไม่ถึงขนาดนั้น อ่านคันจิไม่ออก แกรมม่าไม่เข้าใจ คำศัพท์ไม่รู้เรื่องเลย ตอนนั้นเอาพจนานุกรมแบบเป็นเล่มไป ก็เปิดไม่ทันชาวบ้านเค้า เครียดจนร้องไห้เพราะเรียนไม่ทัน สุดท้ายเลยตัดสินใจแบ่งเงินทุนก้อนแรกมาซื้อ Talking Dict หูยยยย ชีวิตดีขึ้นเลย บวกกับว่าพอปรับตัวได้ และอาศัยหาศัพท์มาก่อนเข้าเรียน

การใช้ชีวิตนักศึกษาแลกเปลี่ยนเป็นอะไรที่สนุกและประทับใจไม่ลืม ก่อนไปญี่ปุ่นเป็นคนไม่ค่อยทำกิจกรรม ไม่ชอบไปไหนเท่าไหร่ แต่พอไปถึงญี่ปุ่นช่วงแรกบอกกับตัวเองเลยว่า 1 ปีมันแป๊บเดียว อย่าใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้อง ออกไปลองออกไปทำอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อนให้มากที่สุด ดังนั้น เวลาเพื่อนมาชวนไปไหน ชวนไปทำอะไร ก็ไม่เคยปฏิเสธเลยจ้า

 

สิ่งที่ทำที่ญี่ปุ่นตอนเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน มีหลายอย่างมาก กิจกรรมอะไรที่มหาวิทยาลัยแนะนำมาไปทำหมด!

ทั้งเข้าชมรมมหาวิทยาลัย (ตอนนั้นอยู่ชมรมถ่ายรูป) ร่วมกิจกรรมร้องเพลงกับนักศึกษาต่างชาติและญี่ปุ่นของจังหวัดโอซาก้า เป็นอาสาสมัครสอนภาษาไทยให้นักศึกษา ร่วมกิจกรรมวัฒนธรรมญี่ปุ่น เช่น ชงชา ทำขนมญี่ปุ่น จัดดอกไม้ เล่นเคนโด้ เจอเกอิชา

กิจกรรมตามฤดูกาล เช่น พาไปเชียร์เบสบอลที่สนามโคชิเอ็งในหน้าร้อน (ซึ่งไม่เข้าใจกติกาเลยยย ได้แต่ดูนักกีฬา 55) โนมิไคชมดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เป็นต้น

นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน

 

นอกจากกิจกรรมในมหาวิทยาลัยแล้ว ก็จะมีกิจกรรมสร้างเสริมความสัมพันธ์กับคนญี่ปุ่นหรือเพื่อนต่างชาตินอกมหาวิทยาลัยด้วย นั่นก็คือ การสังสรรค์แบบดื่ม หรือ 飲み会 Nomikai

ตอนอยู่ไทยเหล้าไม่เคยแตะ ผับไม่เคยเข้า แต่พอไปญี่ปุ่นปุ๊บ เรียกว่าไม่เคยขาดก็ได้ 555 เพราะที่ญี่ปุ่น การไปโนมิไคคือการเข้าสังคมอีกแบบที่ทำให้รู้จักและสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว และยังทำให้เราพูดญี่ปุ่นได้คล่องปรื๋อโดยไม่รู้ตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดื่มแบบมีสติ ส่วนใหญ่ก็จะไปแถวๆหน้ามหาวิทยาลัย ดื่มเสร็จก็เดินกลับหอพร้อมเพื่อนๆ

มีครั้งนึงเคยไปสังสรรค์กับเพื่อนจากสถาบันอื่นในโอซาก้า อยู่กันจนดึกจนรถไฟหมด เลยไปร้องคาราโอเกะแล้วก็ค้างที่คาราโอเกะแทน พอตอนเช้าก็ค่อยนั่งรถไฟกลับ (แต่ต้องรีบกลับตอนเช้าตรู่เลยนะ ถ้าสายปุ๊บคนจะเยอะ ปล่อยให้คนเห็นหน้าเยินๆของเราไม่ได้) ประสบการณ์แบบนี้คิดว่าทำได้ที่ญี่ปุ่นเท่านั้น เพราะบ้านเมืองเค้าปลอดภัยติดอันดับต้นๆของโลกเลย แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวเองด้วย ใช้ขีวิตให้มีสติไว้

นอกจากกิจกรรมมหาวิทยาลัยแล้ว.. สังสรรค์กับเพื่อนแล้ว.. ก็ เที่ยว! 555 ตอนแรกเริ่มเที่ยวเพราะเพื่อนชวนไป หลังๆ เพื่อนไม่ต้อง ชั้นชวนเอง ????

สองอาทิตย์แรกที่ไปอยู่โอซาก้า ก็เที่ยวในโอซาก้า นารา โกเบ USJ แล้ว

หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ไปเกียวโต ซึ่งไปบ่อยมากๆ เพราะมีเพื่อนคนไทย 1 คนอยู่ที่นั่น เหงาหน่อยก็นัดไปเจอไปเที่ยวกันที่เกียวโต เพราะไปง่ายมากจากโอซาก้า ค่ารถก็ไม่แพง พอดีเป็นคนชอบเที่ยววัด เที่ยวเมืองเก่า เลยชอบไปเกียวโตมากๆ ถึงแม้จะไปสถานที่เดิมๆแต่บรรยากาศก็จะแตกต่างกันไปตามฤดูกาลอีก เช่น ไลท์อัพในตอนกลางคืน ช่วงซากุระ ช่วงใบไม้แดง

มีครั้งนึงประทับใจมากๆ ไปเที่ยวที่วัดคิโยมิสึตอนกลางคืน เพื่อดูซากุระและไลท์อัพ แล้วจู่ๆ หิมะก็ตก ทำให้ประทับใจมาก เพราะปกติแล้วจะไม่ค่อยได้เห็นหิมะในช่วงฤดูที่มีซากุระเลย

นอกจากเกียวโตแล้ว ก็จะชอบไปโกเบ เพราะเป็นเมืองโรแมนติกมากกกก แล้วเดินทางจากโอซาก้าแค่ครึ่งชั่วโมงเอง จะเที่ยวในเมืองโกเบก็ได้ มี China Town ด้วย หรือจะนั่งรถไปบนเขา Rokko ก็ได้ เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีสเน่ห์เมืองหนึ่งเลยค่ะ

ช่วงวันหยุดยาวหรือปิดเทอมนานๆ ก็จะไปเที่ยวที่อื่นไกลๆบ้าง ฮาโกดาเตะ (ฮอกไกโด) กุนมะ โตเกียว นาโกย่า กิฟุ ยามากุจิ ฮิโรชิม่า ฟุคุโอกะ เป็นต้น และส่วนใหญ่จะไปสายธรรมชาติซะมากกว่า

 

เที่ยวเยอะขนาดนี้ คงงงว่าเงินทุนที่ได้ไป พอเที่ยวได้ด้วยเหรอ… ใช่แล้วค่ะ… ไม่พอ….

ตอนนั้นได้ทุนค่าใช้จ่ายต่อเดือน เดือนละ 80,000 เยน ค่าห้องพักค่าโทรศัพท์ก็ปาไป 50,000 เยนแล้ว เหลือกิน เที่ยว ได้แค่เดือนละ 30,000 เยน ก็อาศัย ทำอาหารทานเองบ้าง กับเที่ยวใกล้ๆ โอซาก้าให้พอหอมปากหอมคอ

พอเข้าปิดเทอมฤดูหนาวยาวถึงใบไม้ผลิ ประมาณ 2 เดือนกว่าๆ เลยตัดสินใจหางานพิเศษทำ เพราะอยากหาเงินเที่ยวไกลขึ้น เลยหางานพิเศษจากเว็บไซต์

เลยได้ไปเจอประกาศรับสมัครในเว็บบอร์ดสมาคมนักเรียนไทยในญี่ปุ่น TSAJ ประกาศหาคนไทยในโอซาก้าไปทำงานในสำนักงานย่อยของหอสมุดโอซาก้า หน้าที่คือ ถอดชื่อหนังสือภาษาไทยจากคาตาคานะแล้วพิมพ์ชื่อเป็นภาษาไทยลงระบบ

ทุนแลกเปลี่ยน มหาวิทยาลัย

ดูเหมือนง่ายนะ แต่ตอนนั้นคีย์บอร์ดที่ทำงานเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น เลยต้องใช้สกิลการแชทแบบไม่มองคีย์บอร์ดมาช่วย ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม เลยสามารถทำงานพิเศษได้วันละ 8 ชั่วโมง (ถ้าเปิดเทอมทำได้ 28 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ได้ชั่วโมงละ 1,000 เยน และได้ค่าเดินทางด้วย

ถือว่าเป็นงานที่รายได้ดีมาก แถมเป็นงานระบบออฟฟิส เจ้านายเป็นคนญี่ปุ่นที่เป๊ะมากๆ แต่ก็ใจดีมากเหมือนกัน ถือว่าได้ประสบการณ์ทำงานแบบญี่ปุ่นและได้รายได้ค่อนข้างดีเลย

ทำงานทั้งหมด 2 เดือนเต็ม ได้เงินมาแล้ว ก็เที่ยวสิคะ 555 นอกจากเที่ยวแล้วก็เอาไปซื้อบัตร USJ รายปีด้วย เพื่อนนักเรียนต่างชาติมีคนละใบทุกคน เวลาเลิกเรียนก็ไปเล่นกัน วันธรรมดาคนน้อยมาก รอไม่เกิน 15 นาทีได้เล่นเลย คุ้มสุดๆ

นอกจากเรียน ทำงาน เที่ยวแล้ว ประสบการณ์อีกอย่างที่ได้มาก็คือการไปอยู่โฮมสเตย์กับคนญี่ปุ่นที่จังหวัดกุนมะ จริงๆ แล้วโฮสที่ไปอยู่เคยเป็นโฮสของเพื่อนมาก่อน พอปิดเทอมเพื่อนเลยชวนไปอยู่ด้วย

ครอบครัวโฮสมีคุณลุงคุณป้าอยู่กัน 2 คน ส่วนลูกสาวลูกชายไปมีครอบครัวเลยอาศัยอยู่ที่อื่น แต่ว่าไม่เหงาเลย เพราะโฮสแม่จะมีแก๊งคุณแม่บ้านที่ไปมาหาสู่กันทุกวัน อยู่ด้วยกันแทบตลอด เวลาไปไหนก็จะยกกันไปเต็มคันรถ

ตอนไปอยู่แรกๆ พูดและฟังโฮสและผองเพื่อนไม่ทันเลย ได้แต่นั่งฟังและก็หัวเราะตามๆ ไป ขนาดมีความรู้ประมาณ N3 แล้วตอนนั้น แต่ก็ยังพูดได้ไม่ทันเลย แต่โฮสทุกคนก็เอ็นดูมาก พาไปเที่ยว เล่น (บังคับ)กิน จนน้ำหนักเพิ่มมา 5 กิโลใน 2 อาทิตย์

การไปโฮมสเตย์นี้ ทำให้เราเข้าใจคนญี่ปุ่นมากขึ้นอีกระดับ แถมได้ฝึกภาษา และได้อีก 1 ครอบครัวที่สำคัญเพิ่มมาด้วย ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกัน

พอได้ไปเรียน ไปใช้ชีวิตญี่ปุ่นแล้ว บุษรู้สึกว่าประเทศญี่ปุ่นดีมากๆ มีระเบียบ สะดวกสบาย และปลอดภัยมากๆ แถมยังได้ภาษาที่สามอีกด้วย ซึ่งมีประโยชน์มากต่อการทำงานในอนาคต

พอเห็นประโยชน์ในการไปเรียนญี่ปุ่น ก็รู้สึกว่าบุษอยากแนะนำให้คนไปเรียนที่ญี่ปุ่นกัน การแนะแนวเรียนต่อญี่ปุ่นนี้ ไม่ใช่แค่แนะนำโรงเรียนหรือแนะนำเมืองให้นักเรียนไปอยู่เท่านั้นนะ แต่จะต้องช่วยนักเรียนวางแผนด้วยว่าเค้าอยากเรียนอะไร ต้องเลือกที่ไหน เรียนจบแล้วมีแนวทางทำงานต่อยังไง

พูดง่ายๆ คือไม่ใช่แนะแนวเรียนต่อ แต่เป็นการช่วยเค้าวางแผนอนาคต

 

รู้สึกดีใจมากๆ เวลาเห็นนักเรียนที่บุษแนะนำไปเรียนญี่ปุ่น เรียนจบกลับมาเมืองไทยและพูดภาษาญี่ปุ่นได้เก่งมาก (หลายคนพูดเก่งกว่าบุษแล้ว) หรือบางคนได้มีโอกาสทำงานต่อที่ญี่ปุ่น หรือเรียนต่อในระดับสูง หรือประสบความสำเร็จในทางที่เค้าเลือกเดินโดยมีภาษาญี่ปุ่นเป็นเครื่องมือไปสู่ความสำเร็จนั้นๆได้

นักเรียนหลายคนที่เวลาอยู่เมืองไทยเป็นอีกแบบ แต่พอไปอยู่ญี่ปุ่นกลับเปลี่ยนตัวเองในทางที่ดีขึ้นมาก เวลาไปเจอกันที่ญี่ปุ่นรู้สึกดีใจมากที่น้องๆ โตขึ้น มีระเบียบ มีความคิด มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้สึกดีใจแทนครอบครัวของเค้าเลยค่ะ

สำหรับใครที่อยากพูดภาษาญี่ปุ่นได้ อยากลองใช้ชีวิต อยากได้ประสบการณ์ที่ดี อย่ามัวลังเลค่ะ บอกเลยว่า จะเป็น 1 ปี (หรือมากกว่านี้) ที่มีค่าจนลืมไม่ลงเลยในชีวิต

อยากให้ทุกคนได้มีโอกาสเป็น นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน ญี่ปุ่น กันนะคะ

(ที่เล่ามาข้างบนนั้นก็หลายปีผ่านมาแล้ว ยังจำได้อยู่เลยนะ อิอิ ☺️)
อ่านเรื่องเพิ่มเติม

ทุนเรียนต่อญี่ปุ่น : 4 Steps ขั้นตอนการหาทุน ไม่ไกลเกินเอื้อม 

 

อ่านเรื่องราวของ #ทีมเจ๊เอ๊ด  แนะแนว เรียนต่อ ญี่ปุ่น


 

ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นเจเอ็ดดูเคชั่น
เป็นสำนักงานตัวแทนในประเทศไทยของสถาบันโดยตรง  ดำเนินการสมัคร เรียนต่อญี่ปุ่น ครบครันทุกขั้นตอน  โดยไม่คิดค่าดำเนินการใด ๆ รวมถึงค่าส่งเอกสารไปที่ญี่ปุ่น

ติดต่อสอบถาม – สมัคร เรียน
สาขาสีลม โทร. 02-2677726 ต่อ 101-104
สาขาอโศก โทร. 02-665-2969
email : ask@jeducation.com

คุยกับเจ้าหน้าที่แนะแนว ศิษย์เก่าญี่ปุ่น คลิกเลย  >> http://bit.ly/jed-line

Scroll to Top