หลายคนได้ยินมาว่า จะไปเรียนภาษาระยะยาวที่ญี่ปุ่น ต้องมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นไปก่อน แต่ก็รู้สึกสงสัยใช่มั้ยคะว่า ก็ตั้งใจจะไปเรียนอยู่นี่ไง ทำไมถึงต้องมีไปก่อนด้วยล่ะ ?
มาค่ะ เดี๋ยวเราจะมาทำความเข้าใจ “เหตุผล” ที่เราจำเป็นต้องเรียนไปก่อน ไปจนถึงเอกสารที่จำเป็นต้องมีเพื่อใช้ยืนยันตอนสมัครเรียน ให้กองตรวจคนเข้าเมืองยอมเชื่อว่า “ฉันเรียนภาษาญี่ปุ่นมาแล้วจริงๆนะ !” กันค่ะ
ในการสมัครไป เรียนภาษาระยะยาวที่ญี่ปุ่น ( 6 เดือน – 2 ปี ) นอกจากการส่งใบสมัครให้โรงเรียนแล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถบินไปเรียนได้เลยนะคะ แต่เพราะเราจะไปเป็นนักเรียนที่ญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมาย เราจึงต้องทำ วีซ่านักเรียน ( Student visa หรือ 留学 : ryugaku ) กันก่อนค่ะ
การจะขอวีซ่านักเรียนได้ อย่างแรก เราต้องทำเรื่องเพื่อขอเอกสารสำคัญใบหนึ่ง จากกองตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น ที่เรียกว่า “หนังสือรับรองสถานภาพพำนัก” (Certificate of Eligibility หรือ COE) ให้ได้ก่อน จากนั้นก็ค่อยนำใบ COE ที่ว่านี้ไปขอวีซ่านักเรียนต่ออีกทีค่ะ
ตัวอย่างใบ COE (ปัจจุบันหลายแห่งปรับใช้เป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์)
เอาจริงๆ จะให้เจ๊เอ๊ดเปรียบ COE เป็นดั่งใบเบิกทางแรกสู่การเข้าไปเรียนต่อญี่ปุ่นเลยก็ไม่ถือว่าพูดเว่อร์ไปค่ะ เพราะถ้าไม่มีใบนี้ ก็ไม่ต้องคิดไปถึงการขอวีซ่านักเรียนเลยล่ะ แต่ทว่าการขอเจ้าใบ COE นี่แหละ ที่หินที่สุดในบรรดาขั้นตอนการสมัครเรียนต่อแล้ว เพราะ จำเป็นต้องใช้เอกสารในการขอค่อนข้างเยอะ และหนึ่งในเอกสารเหล่านั้น มันดันมีเอกสารตัวนึงที่ต้องใช้ นั่นก็คือ! เอกสารรับรองความรู้ภาษาญี่ปุ่นของตัวผู้สมัคร เทียบเท่าระดับ JLPT N5 หรือให้ดีเลยก็คือ ผลสอบผ่าน N5 ของผู้สมัครค่ะ
ระดับ N5 นั้น ให้พูดง่ายๆ ก็คือระดับต้น ผู้ที่มีระดับนี้จะสามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นขั้นพื้นฐานได้บ้างแล้ว ซึ่งสาเหตุที่กองตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่นเค้าอยากให้เรามีความรู้ภาษาญี่ปุ่นไปก่อนสักหน่อยในระดับต้นก็มีเหตุผลอยู่นะ นั่นคือ เพื่อที่จะมั่นใจว่าเราจะสามารถเอาตัวรอด ใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นได้อย่างปลอดภัย และ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้มีความตั้งใจไปเรียนจริงๆ ค่ะ
แล้วถ้ายังไม่มี N5 จะทำอย่างไร ใช้อะไรแทนได้?
- ในกรณีที่ผู้สมัครเป็นคนที่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาแล้วในสถาบันสอนภาษา (ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ) โดยมั่นใจว่าเรียนเกิน 150 ชั่วโมงแล้วแน่ๆ ก็สามารถไปขอให้สถาบันออก หนังสือรับรองความรู้ภาษาญี่ปุ่น แบบมีรายละเอียดครบถ้วน ตรงตามที่กองตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่นต้องการให้ได้ โดยใบนั้นจำเป็นต้องระบุชั่วโมงเรียนมากกว่า 150 ชั่วโมงขึ้นไป
- ในกรณีที่เรียนด้วยตัวเองมาตลอดทำให้ไม่มีหนังสือรับรองความรู้ภาษาญี่ปุ่น และความรู้เทียบเท่าระดับ N5 แล้ว เราก็จะต้องไปสอบเพื่อเอา ผลสอบที่เทียบเท่า N5 มายื่น เจ๊เอ๊ด list การจัดสอบวัดความรู้ภาษาญี่ปุ่น ที่มีเปิดสอบที่ไทย และเป็นผลสอบที่ทางกองตรวจคนเข้าเมืองยอมรับพิจารณาและสามารถใช้ยื่นขอ COE ได้มาให้ดูกันค่ะ
JLPT : Japanese Language Proficiency Test
- ความถี่ในการจัดสอบ : 2 ครั้งต่อปี
- ผลที่สามารถใช้ยื่นได้ : N5 ขึ้นไป
- อ่านรายละเอียด ที่นี่
J.TEST : การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นเชิงปฏิบัติ
- ความถี่ในการจัดสอบ : 6 ครั้งต่อปี
- ผลที่สามารถใช้ยื่นได้ : F ขึ้นไป
- อ่านรายละเอียดการสมัคร ที่นี่
JPT : Japanese Proficiency Test
- ความถี่ในการจัดสอบ : 6 ครั้งต่อปี
- ผลที่สามารถใช้ยื่นได้ : 315 คะแนนขึ้นไป
- อ่านรายละเอียดการสมัคร ที่นี่
- ความถี่ในการจัดสอบ : 6 ครั้งต่อปี
- ผลที่สามารถใช้ยื่นได้ : ระดับ 5
- อ่านรายละเอียดการสมัคร ที่นี่
ถ้ายังไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่น ทำอย่างไรจะสมัครได้ ?
สิ่งที่เราต้องทำเป็นอันดับแรกเลยก็คือ เรียนภาษาญี่ปุ่น ก่อนค่ะ แน่นอนว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย การเรียนภาษาญี่ปุ่น เราจะไปได้เร็วหรือช้า หนึ่งในตัวแปรสำคัญก็คือคอร์สเรียน ค่ะ เจ๊เอ๊ดจะขอยกตัวอย่างคอร์สเรียนของ Jeducation Center มาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพความเร็วในการเรียนกันค่ะ
“คอร์สเร่งรัด”
คอร์สเรียนที่ได้ผลไวที่สุด
- ได้ความรู้เทียบเท่า N5 ในเวลา 3 เดือน (1 คอร์ส)
- ได้ชั่วโมงเรียน 212 ชั่วโมง
- เรียนทุกวันจันทร์ – ศุกร์ (13.00 – 17.00 น.)
“คอร์สทั่วไป” คอร์สเรียนแบบค่อยเป็นค่อยไป
- ได้ความรู้เทียบเท่า N5 ในเวลา 1 ปี 3 เดือน (5 คอร์ส)
- ได้ชั่วโมงเรียน 171 ชั่วโมง
- เรียนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง (ครั้งละ 1 ชม.ครึ่ง)
เมื่อรู้เวลาแล้ว เราก็วางแผนการเรียนต่อของเราได้แล้วล่ะค่ะ ปกติแล้วการสมัครเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น จะเปิดรับสมัครล่วงหน้ากันก่อนเทอมที่เข้าเรียนประมาณ 5-6 เดือน ดังนั้นเราก็แค่ต้องวางแผนเรียนภาษาให้ได้ครบ 150 ชั่วโมงก่อนถึงช่วงสมัครนั่นเองค่ะ
นักเรียนที่เตรียมความพร้อมภาษาญี่ปุ่นกับ Jeducation Center ในหลักสูตรเร่งรัด
แต่ถ้าใครรีบจริงๆ หรือ ไม่มีเวลาเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนแล้ว แต่อยากสมัครเลย ก็ยังสามารถสมัครได้ด้วยบางเงื่อนไขนะคะ
ต้องบอกก่อนว่า ไม่ใช่ว่าไม่มี = ไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะก็มีโรงเรียนสอนภาษาที่ญี่ปุ่นบางแห่งเหมือนกันที่มีข้อยกเว้นว่า ถ้าผู้สมัคร จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป จะสามารถสมัครโดยไม่ต้องใช้ใบรับรองภาษาญี่ปุ่นได้เลย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเขตของกองตรวจคนเข้าเมืองที่ดูแลด้วยค่ะ
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นเลยว่า คนที่จะเป็นผู้พิจารณาเอกสารและออก COE ให้เราก็คือ กองตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น และเนื่องจากกองตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่นในแต่ละเขตนั้นมีความเข้มงวดไม่เท่ากัน ทำให้โรงเรียนบางที่ แม้ไม่มีเอกสารรับรองความรู้ภาษาญี่ปุ่น ณ เวลาสมัคร ก็สามารถยื่นขอ COE ได้
ซึ่งโรงเรียนที่มีเงื่อนไขนี้ก็อาจจะมีอยู่เฉพาะบางโรงเรียนเท่านั้น (สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่แนะแนวทีมเจ๊เอ๊ดได้ค่ะ😊)
ขอให้ทุกคนที่ตั้งใจวางแผนไปเรียนต่อ คำนวนเวลาการเรียนภาษาญี่ปุ่นของตัวเองดีๆ เพื่อที่จะได้สมัครเรียนทันนะคะ
สำหรับใครที่มีคำถามเพิ่มเติมเรื่องการสมัครเรียนภาษาระยะยาวที่ญี่ปุ่นก็สอบถามเจ๊เอ๊ดเข้ามาได้เลยนะคะ เจ้าหน้าที่แนะแนวทีมเจ๊เอ๊ดประสบการณ์อัดแน่นทุกคน ช่วยแนะนำแนวทางการเรียนต่อให้ตามเป้าหมาย พร้อมสมัครเรียนและดำเนินการสมัคร ยื่นเอกสารทุกขั้นตอน ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ค่ะ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม – ปรึกษาแบบส่วนตัวทางออนไลน์ ฟรี!
กับเจ้าหน้าที่แนะแนว Jeducation คลิกเลย