ครั้งแรกกับการทำ WWOOF ที่ญี่ปุ่น
BY FAAI
คราวที่แล้ว เราเล่าเรื่องบ้านพักและกฎของการเป็นวูฟคร่าวๆไปแล้ว แล้วเวลาการเริ่มทำวูฟของจริงก็เริ่มขึ้น
เราตื่น 6.45 น. ล้างหน้าแปรงฟันก็เตรียมกินข้าวเช้าตอน 7.30 น. ที่โฮสต์เตรียมไว้ให้ มื้อเช้าที่นี่จะเป็นสไตล์คนญี่ปุ่นของจริงคือ เป็นข้าวกับนัตโตะ ผักดอง และอาจจะมีไข่ดาว หรือไข่หวานม้วนนิดหน่อย เน้นหนักไปที่ผักดอง ซึ่งพอใครเห็นนัตโตะเป็นต้องอึ้งเป็นธรรมดา
โชคดีที่โฮสต์ไม่ได้ถึงกับทำให้คนละชุด แต่ทำเป็นกับข้าวให้เลือกตักเอง เลยทำให้เรารอดชีวิตในมื้อเช้าได้ ด้วยผักดองกับไข่ไปตามระเบียบ เพราะนัตโตะเป็นอาหารญี่ปุ่นที่เราไม่สามารถกินได้จริงๆ ด้วยกลิ่นและรสชาติของมัน
หลังจากนั้นก็เริ่มลุยงานวันแรกเลย ซึ่งเย็นวันนี้จะมีปาร์ตี้สำหรับชาวต่างชาติ ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นและต้อนรับวูฟทั้งหมด 4 คน ที่มารอบเดือนนี้ที่ร้านของโฮสต์
งานวันนี้จึงเป็นในส่วนของการช่วยโฮสต์เตรียมงานปาร์ตี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดโต๊ะ เก้าอี้ ทำความสะอาด เตรียมวัตถุดิบทำอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะทำงานในร่มทั้งวันเลยไม่ร้อนมาก และโฮสต์ให้เลิกงานเร็ว เนื่องจากให้อาบน้ำเตรียมตัวมางานปาร์ตี้
วีซ่านักเรียน ที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานพิเศษ สามารถเข้าร่วมโครงการ WWOOF ที่ญี่ปุ่น ได้
แต่คนไทยที่มาญี่ปุ่นด้วย วีซ่าท่องเที่ยว หรือไม่มีวีซ่า การทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำเพื่อแลกกับเงิน หรือแลกกับที่พัก อาหารฟรี ก็ตาม ถือว่าผิดกฎหมายของญี่ปุ่นนะคะ
ในงานปาร์ตี้มีแขกมาเกือบ 150 คน มื้อเย็นวันนี้เลยเปรมไปด้วยอาหาร และกิจกรรมสนุกๆ พอถึงเวลาโฮสต์ก็ให้วูฟทั้ง 4 คนขึ้นไปแนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นเล็กน้อย และตอนนั่งที่โต๊ะ ก็จะมีเพื่อนบ้านโฮสต์ที่อยากรู้จักชาวต่างชาติแวะเวียนมาคุย ทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องต่างๆกันไป
เราก็ถือว่าฝึกภาษาไป คำไหนนึกภาษาญี่ปุ่นไม่ออกก็อังกฤษไป เปิดดิกคู่ใจไป จนกระทั่งได้รู้จักคนญี่ปุ่น 2 คนที่น่ารักมาก คนนึงเขามีสามีเป็นคนไทย เขาชอบความเป็นไทย ลูกๆเขาชอบภาษาไทยอยากพูดภาษาไทยได้ เขาเลยชวนเราไปเที่ยวในวันหยุดกับลูกๆเขา
ส่วนคนญี่ปุ่นอีกคนนึงเราคุยกันถูกคอเลยแลกไลน์กันไว้ เพราะเขาก็ชวนเราไปเที่ยวในวันหยุดอีกเช่นกัน เลยกลายเป็นว่าเราหมดกังวล เรื่องการไปเที่ยวของเราช่วงวันหยุดแล้วว่าจะเดินทางลำบาก เพราะแถวนี้รถบัสน้อยมาก ที่เที่ยวแต่ละที่ก็ไกลเกินจะขี่จักรยานไปได้
หลังจากจบงานปาร์ตี้วันถัดไปก็เริ่มการทำงานตามปกติ ซึ่งงานแต่ละวันจะต่างกันไปตามที่โฮสต์ให้ทำ แต่หลักๆคือการทำความสะอาดร้านขายของของโฮสต์ ในร้านโฮสต์จะขายทั้งผัก ผลไม้ออร์แกนิค ขนมวากาชิ ไอศกรีม คุกกี้ซึ่งทั้งหมดเป็นการโฮมเมดของเพื่อนบ้านโฮสต์และลูกสะใภ้ของโฮสต์เอง
นอกจากงานที่ร้าน ก็จะเป็นงานในฟาร์มสตอเบอรี่ ตั้งแต่การใส่ปุ๋ย ตัดกิ่งที่เป็นโรคและเน่า ต่อไหลสตอเบอรี่ ซึ่งโฮสต์จะสาธิตการทำให้ดูก่อนทุกครั้ง เลยไม่เป็นปัญหาในการทำงาน และถ้าไม่เข้าใจก็ถามโฮสต์ได้ตลอด แต่ปัญหานึงของเราคือการเจอกับสารพัดแมลง และกบ ตอนแรกก็มีตกใจอยู่บ้าง หลังๆ เริ่มชิน ทีนี้เริ่มมองหาแมลงแทน เพราะแมลงที่นี่สวยและตัวใหญ่กว่าที่ไทยมาก บางอย่างที่ไทยก็ไม่เคยเห็น เหมือนดูธรรมชาติไปในตัว
งานอื่นๆ ที่ต้องทำ อย่างเช่น ลงแปลงนา ตัดวัชพิช ซึ่งทีแรกนี่แยกไม่ได้เลยไหนวัชพืช ไหนต้นข้าว เพราะหน้าตาเหมือนกันมาก หลังๆ ตัดจนเชี่ยวเลยทีเดียว และยังมีการเข้าไปตัดวัชพืชให้ต้นสาลี่ที่มีฟาร์มบนเขา ซึ่งบนเขาอากาศดีมาก แต่ด้วยความที่ต้นสาลี่ลูกเยอะ เลยทำให้ต้นค่อนข้างเตี้ย วันนั้นเลยปวดหลังไปตามระเบียบ
ส่วนงานอื่นๆ ก็เป็นการพาน้องหมาของโฮสต์ไปเดินเล่น ช่วยโฮสต์เลี้ยงหลาน การช่วยโฮสต์ในการเก็บผ้าใบพลาสติกที่มุงหลังคาเอาไว้ใช้ต่อปีหน้า เห็นได้ชัดเลยว่าคนญี่ปุ่นเขาประหยัดกันจริงๆ อะไรรีไซเคิลได้เขาก็ทำ และเขามีวิธีการเก็บที่ทำให้ง่ายต่อการใช้ครั้งต่อไปอีก เราก็ทึ่งในความคิดของเขาไปเบาๆ
เสียดายเล็กน้อยที่ตอนมาไม่ใช่ช่วงเก็บผลผลิต เลยไม่ได้เก็บผลไม้ในฟาร์ม ทำงานส่วนอื่นแทน และด้วยอากาศที่ร้อนมาก โฮสต์เลยใจดีไปอีกด้วยการให้เริ่มงานตอน 15.00-17.00 น. แทนตามปกติที่เริ่ม 13.30-17.00 น. และตลอดการทำงาน 1 วัน โฮสต์จะมีผลไม้สดๆ มาให้กินตลอด ทั้งองุ่น แตงโม ลูกพีช หวานชื่นใจ ตามสไตล์ผลไม้ญี่ปุ่น ทำให้เติมแรงไปได้ตลอดวัน
สิ่งที่ทำให้แปลกใจอีกอย่างคือ มื้อกลางวันที่นี่ยังคงเป็นสไตล์ญี่ปุ่นจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นราเมงที่โฮสต์ทำเอง เส้นโซเมงกินกับน้ำซุปตามแบบญี่ปุ่น ที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ไข่ หรือผักเลย เป็นเพราะเขาใช้แรงเยอะเลยกินคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก
แต่อาหารในมื้อเย็นจะจัดเต็มครบ 5 หมู่แน่นอน มีวันนึงโฮสต์พาไปกินโรตีแกงกะหรี่สไตล์เนปาล เป็นครั้งแรกเลยที่กินอาหารเนปาล อร่อยไปอีกแบบ
ในส่วนของวันหยุด ก็ได้เพื่อนโฮสต์ที่เจอในงานปาร์ตี้พาไปเที่ยว หรือบางวันโฮสต์ก็พาไปเที่ยวเองเลย ทั้งชมวิวที่ไร่ชาที่ Yame และ Heart Rock การลองบดใบชาด้วยเครื่องบดมือ ทำ Craft ลายกระดาษสา
ตอนเช้าก็จะพาไปออกกำลังกายกับเด็กๆ ซึ่งคนญี่ปุ่นเขาฝึกให้เด็กตื่นเช้ามาดูแลสุขภาพ ด้วยการเปิดเพลงให้ออกกำลังกายตั้งแต่ 6.30 น. ซึ่งเด็กที่มาออกกำลังกายจะมีบัตรสะสมแสตมป์อยู่ ใครได้ครบตามที่กำหนดจะมีของรางวัลเล็กๆน้อยๆให้ เป็นการฝึกเด็กไปในตัวที่ดีเลยทีเดียว
และที่พลาดไม่ได้อีกกิจกรรมหน้าร้อน ที่โฮสต์ก็มีให้เล่นก็คือ การเล่นดอกไม้ไฟ และพาไปงานเทศกาลดอกไม้ไฟที่สวยมาก และเป็นการไปงานเทศกาลครั้งแรกของเราเช่นกัน
แล้วการทำวูฟของเราตลอด 2 อาทิตย์ก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้จะเหนื่อย เมื่อย ปวดหลังบ้าง แต่ก็มีสิ่งดีๆ ที่ได้จากการทำวูฟครั้งแรกเยอะอยู่เช่นกัน
1. ได้ฝึกภาษาญี่ปุ่น
แน่นอนว่าถึงแม้โฮสต์จะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่ก็ใช่ว่าโฮสต์จะคุยภาษาอังกฤษกับเรา ทุกๆ วันตลอด 2 อาทิตย์ เราใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นสื่อกลางในการสื่อสารทั้งกับวูฟด้วยกันเอง และกับโฮสต์
เพราะวูฟที่มาก็มีจุดหมายเหมือนกันคือ อยากฝึกภาษาญี่ปุ่น และโฮสต์จะคุยภาษาอังกฤษกับเรา เฉพาะเวลาที่เราไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นจริงๆ เพราะฉะนั้น ตอนอยู่ในห้องเรียนใครไม่กล้าพูด หรือยังหาเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นไม่ได้ คราวนี้แหละเป็นโอกาสได้ฝึกอย่างเต็มที่ จะผิดจะถูกก็ไม่ต้องกังวลเพราะไม่มีคะแนน แค่กล้าและพยายามที่จะพูด คนญี่ปุ่นเขาพร้อมที่จะฟังและทำความเข้าใจกับเรา
2. ได้ประสบการณ์ใหม่แน่นอน
เพราะถ้ายังเที่ยวเอง หรืออยู่หออ่านหนังสือเองที่เกียวโต ก็จะไม่ได้มีโอกาสในการทำอะไรใหม่ๆแบบนี้แน่นอน อย่างลงแปลงนา ปีนหลังคา เป็นการฝึกความอดทนไปในตัวด้วย เพราะการทำงานกลางแจ้งทุกวันในหน้าร้อนนั้นเป็นเรื่องที่บรรยายความเหนื่อยไม่ได้จริงๆ -*-
3. ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความคิด มุมมองกับคนญี่ปุ่นและชาติอื่นๆ
เพราะตลอดการอยู่ด้วยกัน 2 อาทิตย์ ไม่ใช่ว่าต่างคนต่างทำงาน เลิกงานก็แยกย้าย แต่เรามีการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องต่างๆกัน ทำให้รู้มุมมองของคนชาติอื่น เปิดความคิด เห็นโลกที่กว้างขึ้น เห็นวิธีการคิดการรีไซเคิลของคนญี่ปุ่น วิธีการสอนลูกและการพึ่งตัวเอง
4. ได้เพื่อนใหม่
ตอนเราไปมีวูฟผู้หญิงลูกครึ่งญี่ปุ่น-เชค 2 คน มาก่อนเรา และมีผู้ชายอเมริกาอีกคนมาพร้อมเรา หลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์มีคนจีนที่เกิดที่ฝรั่งเศสมาอีก 1 คน บรรดาวูฟที่มาด้วยกันทุกคน ล้วนมีจุดหมายเหมือนกันคือการฝึกภาษาญี่ปุ่นและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เลยทำให้การคุยกันถูกคอง่ายขึ้น ช่วยเหลือกันตอนทำงาน เที่ยวด้วยกัน เลยทำให้ไม่เหงาเลยตลอดการทำวูฟ
5.ได้พลังในการกลับมาตั้งใจเรียนภาษาญี่ปุ่นขึ้นไปอีก
เพราะขนาดคนที่เป็นลูกครึ่งพูดฟังญี่ปุ่นได้ แต่เขากลับเจอปัญหาที่เขียนไม่ได้ หรือแม้กระทั่งวูฟที่อาศัยทุกช่วงเวลาว่าง ในการท่องและคัดคันจิ เลยทำให้เรารู้สึกมีแรงฮึดสู้ไปในตัว
ถ้าใครที่สนใจอยากลองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ระหว่างมาเรียนที่ญี่ปุ่น ก็ลองไปทำวูฟสักครั้งดูนะคะ แล้วคุณจะได้เห็นอะไรใหม่ ๆแน่นอน
แค่เลือกโฮสต์ให้ถูกใจตามที่เราต้องการจริงๆ แล้วชีวิตการเป็นวูฟจะสนุกแน่นอนอ่อ! แต่ขอเตือนนิดนึงนะคะ สภาพอากาศเป็นปัจจัยสำคัญจริงๆในการทำงานในฟาร์ม เพราะฉะนั้นเลือกช่วงเวลาดีๆตามที่ชอบกันนะคะ จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป ><!
โครงการ WWOOF ไม่ได้ผิดกฎหมาย
แต่การเข้าประเทศญี่ปุ่นด้วย วีซ่าท่องเที่ยว หรือไม่มีวีซ่า แล้วไปทำงาน ถือว่าผิดกฎหมายนะคะ ไม่ว่าจะได้รับเงินหรือไม่ก็ตาม
โรงเรียนที่ฝ้ายไปเรียน
Kyoto Institute of Culture and Language (KICL)
อ่านบทความจากฝ้ายย้อนหลัง >> click
- เรียนต่อญี่ปุ่น หลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะยาว
- เรียนต่อญี่ปุ่น หลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะสั้น
ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นเจเอ็ดดูเคชั่น
เป็นสำนักงานในประเทศไทยของสถาบันโดยตรง แนะแนวศึกษาต่อญี่ปุ่นทุกระดับ โดยศิษย์เก่าญี่ปุ่น ดำเนินการสมัคร เรียนต่อญี่ปุ่น ครบครันทุกขั้นตอน โดยไม่คิดค่าดำเนินการใด ๆ รวมถึงค่าส่งเอกสารไปที่ญี่ปุ่น
ปรึกษาเรื่องเรียนต่อญี่ปุ่น โทร. 02-665-2969, 02-258-3983
email : ask@jeducation.com
ขอข้อมูลเพิ่มเติม คุยกับเจ้าหน้าที่ คลิกเลย >> https://bit.ly/jed-line