พอเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีทีไร ทุกคนก็จะนึกถึงวันหยุดที่มีมากมายและคำถามที่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดีมักจะตามมาครับ ผมเองก็เช่นกัน ผมจึงถือโอกาสลางานยาวเกือบสองสัปดาห์เพื่อไปใช้ชีวิตแบบ Slow Life ในญี่ปุ่นครับ
คำว่า Slow Life ของผมในที่นี้คือ การไปเที่ยวโดยไม่มีแพลนอะไรล่วงหน้าและไม่เร่งรีบ
มีโอกาสไปญี่ปุ่นทีไร ผมมักจะนัดเจอเพื่อนฝูงสมัยเรียน เพื่อทานข้าวคุยอัพเดทชีวิตของแต่ละคน หรือรวมกลุ่มกันไปร้องคาราโอเกะซึ่งเป็นกิจกรรมยามว่างยอดฮิตของชาวญี่ปุ่นครับ
แต่ทว่า Slow Life in Japan ครั้งนี้ของผมมีความพิเศษเมื่อได้รับการติดต่อจากฮิโรชิ เพื่อนสนิทร่วมชั้นสมัยเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ฮิโรชิเป็นคนที่รักเมืองไทยมาก พูดไทยได้ และเคยทดลองใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนแออัดย่านรามคำแหงอยู่ร่วมเดือน เพื่อสัมผัสวิถีชิวิตจริงเก็บเกี่ยวข้อมูลเพื่อไปทำวิทยานิพนธ์และเสนอแนวทางพัฒนาชุมชนต่อไปครับ
ฮิโรชิได้ติดต่อผมมาว่า เขาได้รับหน้าที่จากรัฐบาลญี่ปุ่นในฐานะคนรุ่นใหม่ให้พัฒนาชนบท โดยฮิโรชิถูกส่งให้ไปประจำอยู่ที่หมู่บ้านโคซึเกะ (小菅村) ซี่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ จ.ยามานาชิ (山梨県) ครับ
หมู่บ้านโคซึเกะ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ใจกลางภูเขา มีพื้นที่กว้างเทียบเท่าเกาะแมนแฮตตัน สหรัฐอเมริกา แต่พื้นที่ 90% ถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้ครับ ประชากรที่นี่มีอยู่เพียงเจ็ดร้อยกว่าคนเท่านั้น และที่น่าแปลกใจคือ 40% ของประชากรหมู่บ้านเป็นคุณลุงคุณป้าวัยเกิน 60 ปีทั้งนั้นครับ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสนใจที่จะไปเห็นสถานที่จริงครับ
เมื่อได้ฟังความน่าสนใจของหมู่บ้านนี้จากฮิโรชิแล้ว ผมจึงไม่ลังเลที่จะรวบรวมเพื่อนอีกสามคน เพื่อเป็นแนวร่วมไปตะลุยหมู่บ้านนี้ด้วยกันครับ พวกเราออกเดินทางจากชินจุกุ (新宿) ตั้งแต่แปดโมงครึ่งเพื่อนั่งรถไฟยาวเกือบชั่วโมงครึ่งมาลงที่สถานีโอทซึกิ (大月) ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้หมู่บ้านโคซึเกะมากที่สุดครับ
ฮิโรชิได้ขับรถมารอรับผมและเพื่อนๆ อยู่ที่สถานีและพวกเราก็ได้ออกเดินทางต่อโดยรถยนต์อีกประมาณสี่สิบนาทีกว่าจะถึงจุดหมายครับ หากไม่มีรถก็จะมีรถบัส ซึ่งวิ่งเข้าสู่หมู่บ้านวันละสามรอบ ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครับ
ระหว่างทาง เราจะสังเกตเห็นได้ว่า พื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้ทั้งสองฝั่ง เงียบสงบ ถนนโล่ง จนเกือบมโนไปได้ว่าเป็นถนนส่วนตัวที่มีแต่รถพวกเราวิ่งครับ
จุดแรกที่เรามาแวะพักก่อนเข้าใจกลางหมู่บ้านคือ เจ้าบ้านรูปทรงประหลาดนี่ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของที่นี่ครับ ตอนแรกผมก็งงว่ามันคืออะไร แต่ฮิโรชิเล่าให้ฟังว่านี่คือบ้านพักตากอากาศเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวครับ ในฤดูร้อนมักจะมีคนมาเช่าอยู่ โดยจะนิยมมาตั้งแคมป์ทำบาร์บีคิวกันริมน้ำครับ เห็นอย่างนี้ แอบได้ยินมาว่าราคาเช่าสูงถึงคืนละ 15,000 เยน หรือ 4,500 บาท เชียวนะครับ
จุดที่สองที่เราแวะก็คือ น้ำตกอะเมะโนะทากิ(雨乞いの滝) ครับ ในสมัยก่อนผู้คนในหมู่บ้านจะอาศัยน้ำจากน้ำตกนี้ใช้อุปโภคบริโภคเป็นหลัก แต่พอน้ำประปาเข้าถึงแล้วการพึ่งพิงน้ำตกก็ลดลงครับ จุดนี้พวกเราแวะพักกันอยู่นานเลยครับ แค่นั่งฟังเสียงน้ำไหล สูดอากาศบริสุทธิ์ท่ามกลางป่าเขาแค่นี้ก็รู้สึกผ่อนคลายไปมากแล้วครับ
หลังจากไปเดินเก็บภาพสวยๆ จากน้ำตกได้สักพัก ผมและสมาชิกผู้ร่วมผจญภัยก็เริ่มแสดงทีท่าหิว ฮิโรชิจึงได้ขับรถพาพวกเรามาที่ “มิจิ โนะ เอกิ (道の駅)” ของหมู่บ้าน ซึ่งพึ่งสร้างเสร็จเมื่อต้นปีครับ มิจิ โนะ เอกิ จะคล้ายๆ จุดพักรถบ้านเรา ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่นอกจากจะถูกสร้างไว้เพื่อเป็นจุดพักรถพักผ่อนของผู้เดินทางแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวัตถุประสงค์คือ เพื่อเป็นแหล่งโฆษณาการท่องเที่ยวในชุมชนหรือของดีในพื้นที่นั้นๆ ครับ
เมื่อเดินเข้าไปเราจะเห็นได้ว่ามีห้องประชาสัมพันธ์เล็กๆ ซึ่งรวบรวมแหล่งท่องเที่ยวและข้อมูลต่างๆ ของหมู่บ้าน ถัดออกไปอีกหน่อยเป็นร้านค้าขายผัก ผลไม้ และสินค้าพื้นบ้านครับ ที่นี่จะมีร้านอาหารอยู่สองร้านคือร้านอาหารญี่ปุ่น และร้านอาหารอิตาลี ซึ่งเราเลือกที่จะเป็นที่ฝากท้องของมื้อกลางวันเราครับ นอกจากนี้ ยังมีออนเซ็น (温泉) หรือบ่อน้ำร้อนไว้เป็นที่ผ่อนคลายของชาวบ้านและผู้แวะมาเยี่ยมเยียนด้วยครับ
มื้อกลางวันเราเป็นพาสต้าและพิซซ่าโฮมเมดครับ แป้งพิซซ่าอบด้วยเตาถ่านร้อนๆ และวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารของร้านนี้เป็นของพื้นบ้านของหมู่บ้าน เช่น เห็ดที่เก็บมาจากในป่าครับ
หลังจากอิ่มท้องแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจมุ่งตรงไปสู่ใจกลางหมู่บ้านครับ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ตั้งแต่เราขับรถมา ระหว่างทางแทบจะไม่มีรถวิ่งสวนหรือรถวิ่งตามมาด้วยกันเลย พอไปถึงหมู่บ้านยิ่งตกใจ ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบมาก
จริงๆ แล้วในวันนั้น ทั้งทางเดินมีแค่พวกเราเดินถ่ายรูปเล่นด้วยความตื่นตาตื่นใจ ฮิโรชิเล่าให้ฟังว่าชาวบ้านจะใช้ชีวิตเงียบๆอยู่ในบ้านโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ คนในหมู่บ้านนี้จะรู้จักกันเกือบหมดครับ เมื่อคนเดินผ่านก็จะทักทายกัน สะท้อนให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์ของชาวญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมจริงๆ ครับ
ชาวบ้านที่นี่ไม่ได้ทำธุรกิจอะไรกันใหญ่โต แต่ปลูกผักปลูกผลไม้ เลี้ยงปลาเพื่อใช้ทานกันในครอบครัว หรือเรียกได้ว่าใช้ชีวิตแบบพอเพียงในภาษาบ้านเรานั่นเองครับ
แต่ทว่า ที่นี่ก็มีเรียวกัง (館) หรือโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ห้าแห่งไว้รองรับแขกผู้มาเยือนหรือนักท่องเที่ยวด้วยนะครับ ในช่วงฤดูร้อนมักจะมีนักเรียนมัธยมต้นมาเข้าค่ายกันครับ
อาคารและบ้าน ในหมู่บ้านนี้โดยมากเป็นทรงโบราณ หลายหลังมีอายุนับร้อยปีหรือย้อนไปตั้งแต่สมัยเอโดะเลยนะครับ หากใครเคยได้ดูการ์ตูนยอดฮิตเรื่องโทโทโระเพื่อนรัก (となりのトトロ) แล้ว ผมอยากจะบอกว่าหมู่บ้านนี้เหมือนจำลองรูปแบบออกมาจากในการ์ตูนเลยครับ
หลังจากที่ได้เดินดูบ้านช่องของคนในหมู่บ้านแล้ว ก็ถือโอกาสเดินต่อไปดูโรงเรียน ภาพที่เห็นเป็นโรงเรียนชั้นประถมของที่นี่ เห็นโรงเรียนใหญ่โตแบบนี้ อย่าตกใจนะครับ ว่านักเรียนทั้งโรงเรียนมีอยู่แค่ยี่สิบห้าคน หรือประมาณชั้นละสี่คนเท่านั้นครับ!
หลังจากที่พวกเราเดินเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ฮิโรชิก็ได้พาไปผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่บ่อออนเซ็นครับ นอกจากออนเซ็นที่นี่เป็นออนเซ็นธรรมชาติและมีแบบ outdoor ให้เราแช่นอนดูภูเขาต้นไม้รอบๆแบบชิวๆ แล้ว ความพิเศษของมันยังมีอีกอย่างคือ บ่อโกเอะโมนบุโระ (五右衛門風呂)
(ภาพจาก https://monipla.jp)
เป็นคล้ายๆ กระทะใบใหญ่ให้เราลงไปแช่ได้ทีละคน ลักษณะการแช่คือ เอาตัวลงไปในน้ำรับความร้อนและเอาแขนขาพาดกับขอบไว้รับความเย็น ความรู้สึกโดยรวมจะพอดี เพราะไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปครับ ขออภัยที่ไม่สามารถเก็บภาพมาฝากได้เนื่องจากทางร้านห้ามน้ำกล้องหรือมือถือเข้าไป แต่บอกได้เลยครับว่าฟินสุดๆ ลงไปไม่ถึงห้านาทีหลับเลย ต้องมาลองสัมผัสด้วยตนเองครับ
เมื่อแช่เสร็จ เราก็ปิดท้ายทริปนี้ด้วยอาหารมื้อค่ำแบบญี่ปุ่นเป็นเซ็ทปลาดิบ ร้านนี้คอนเซ็ปเดียวกับมื้อเที่ยงครับ วัตถุดิบส่วนใหญ่จะมาจากหมู่บ้านครับ อย่างเซ็ทของผมเป็นแซลมอน ซึ่งจับมาจากบ่อที่พาไปทัวร์เมื่อบ่ายครับ แน่นอนว่ารสชาติดี สด และอร่อยครับ
หลังจากทีทุกคนอิ่มท้องแล้ว ฮิโรชิก็ขับรถพาพวกเรากลับไปที่สถานี ด้วยพลังของความผ่อนคลายจากออนเซ็นและอาหารอร่อยๆมื้อค่ำ ทำให้เราหลับโดยไม่รู้ตัวครับ น่าสงสารฮิโรชิที่ต้องขับรถยาวมาส่งเราถึงที่ ระหว่างทางมีไฟเปิดน้อยมาก ต้องใช้ความสามารถและอาศัยความชำนาญในการขับพอสมควรเลยครับ ถึงสถานีก็ล่ำลากันและพวกเราก็ขึ้นรถไฟกลับโตเกียวย้อนสายที่มาเมื่อเช้าครับมุ่งสู่ชินจุกุครับ
โดยรวมแล้วทริปนี้ถึงแม้จะสั้นไปหน่อย เพียงแค่วันเดียวแต่ได้สัมผัสและเรียนรู้ประสบการณ์ที่ยากที่จะหาได้จริงๆครับ เสน่ห์ของที่นี่คือการที่ยังไม่เป็นที่นิยมนัก การที่เราไปก็เหมือนเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิก ไม่มีคนเบียดเสียด ต้องบอกว่าได้ใช้ชีวิต Slow Life ของจริงเลยแหละครับ
ใครที่ยังติดภาพญี่ปุ่นกับกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ เดินสวนกันไปมา รีบวิ่งเพื่อไปขึ้นรถไฟแล้วละก็ หมู่บ้านโคซึเกะจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่คนละยุคสมัยของญี่ปุ่น หรือย้อนเวลาไปร้อยปีก่อนเลยทีเดียวครับ
ผมเองคงต้องหาโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้งและคราวหน้าคงต้องลองนอนค้างที่เรียวกังให้ได้ครับ
สำหรับใครที่สนใจอยากไปลองสัมผัสวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมท่ามกลางป่าเขาที่หมูบ้านโคซึเกะ สามารถหลังไมค์มาที่เฟซบุ๊ค Shad Sarntisart ได้นะครับ ผมจะแนะนำโปรแกรมพิเศษสำหรับผู้สนใจให้ได้ครับ
พบคอลัมน์ “คุยกับชาร์ต” ที่เว็บไซต์เจเอ็ดดูเคชั่นทุกเดือน
คุณสืบศิษฏ์ ศานติศาสน์ หรือชาร์ต นักเรียนเก่าญี่ปุ่น ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนเพียงเท่านั้น แต่ชีวิตที่ประเทศญี่ปุ่นเต็มไปด้วยประสบการณ์นอกห้องเรียน รวมไปถึงประสบการณ์ในวงการบันเทิงของญี่ปุ่น! ลองอ่านดูแล้วจะรู้ว่า เส้นทางสู่การเป็นนักเรียนที่ญี่ปุ่น เรียนต่อญี่ปุ่น รวมถึงการหาทุนการศึกษา ไม่ยากเลย ถ้าตั้งใจและพยายาม
การศึกษาที่ญี่ปุ่น | – ปริญญาตรี : นักศึกษาแลกเปลี่ยนมหาวิทยาลัยซากะ (Saga University) // ผ่านโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างชาติ SPACE ทุนที่ได้รับคือ ทุน JASSO International Student Scholarship for Short-Term Study in Japan – ปริญญาโท : สาขาความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Cooperation) มหาวิทยาลัยโตเกียว (University of Tokyo) // ได้รับทุน JASSO Honors Scholarship พร้อมกับ Shundoh International Scholarship |
การทำงาน | – ปัจจุบันทำงานให้กับธนาคารญี่ปุ่นในประเทศไทย ดูแลส่วนงานธุรกิจระหว่างประเทศไทย-ญี่ปุ่น – งานอดิเรกเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจและการลงทุนในไทยและอาเซียนให้กับบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consulting) ในประเทศญี่ปุ่น |
บทสัมภาษณ์ชาร์ต.. สืบศิษฏ์ ศิษย์เก่า ม.โตเกียวกับประสบการณ์สุดคุ้มนอกห้องเรียน
คอลัมน์คุยกับชาร์ต ตอน ขี่จักรยาน ในญี่ปุ่นต้องระวัง… Bike in Japan!
คอลัมน์คุยกับชาร์ต ตอน เคารพเวลา = เคารพคน “Be On Time in Japan”
คอลัมน์คุยกับชาร์ต ตอน Gap Year in Japan : ประสบการณ์สุดคุ้มนอกห้องเรียน”