เป็ด ภาคภูมิ กับการออกแบบ 2 วัฒนธรรม

ในวาระครบรอบ 10 ปี Nippon Haku มี เป็ด–ภาคภูมิ ลมูลพันธ์ กราฟิกดีไซเนอร์ผู้คลุกคลีกับประเทศญี่ปุ่นมานาน เป็นนักออกแบบโปสเตอร์และ Key Visual ที่สร้างความสนุกและแปลกใหม่ให้กับเทศกาล

ภาคภูมิเป็นกราฟิกดีไซเนอร์อิสระภายใต้ชื่อ ‘Routine Studio’ และล่าสุดนี้ก็กำลังสนุกกับการทำบริษัทออกแบบคาแรกเตอร์เล็ก ๆ กับเพื่อน ชื่อว่า ‘บ้านแมวแมว’ (Baan Maew Maew) ด้วย

หลายคนอยากเรียกเขาว่า Art Director แต่เขามองตัวเองเป็นดีไซเนอร์เสียมากกว่า แม้หลายครั้งเขาเองก็ไม่ได้ทำเองในทุกส่วน แต่จะเลือกให้คนอื่นมาวาดแทน ซึ่งทำให้ ‘สไตล์’ ของงานที่ทำนั้นก็ลื่นไหลตามไปด้วย

หลายคนมองว่าเขาทำงานสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งข้อนี้มาจากการที่เขาเคยไปเรียนและทำงานที่ญี่ปุ่นมาเป็นสิบปี แต่เขาเองก็ไม่ได้ใช้คำนี้ในการนิยามงานของตัวเองเป็นพิเศษ เพราะมองว่า ‘ญี่ปุ่น’ เองก็มีหลายแบบ แล้วแต่ว่าใครจะมีภาพในหัวอย่างไร

แล้วคิดว่าภาพจำงานของ เป็ด ภาคภูมิ เป็นอย่างไร

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าให้เดาน่าจะเป็นการใช้สีสดใส ป๊อป ๆ ตามความชอบส่วนตัวของผมครับ” เขาตอบ “ถ้าใครอยากได้งานดาร์ก ๆ โหด ๆ หรือเน้นวิชวลอลังการ ผมก็อาจจะไม่ถนัด งานผมส่วนใหญ่จะออกไปทางไอเดียเรียบง่าย เข้าใจง่าย แต่ยังใส่ความสนุกอยู่ในงาน”

เป็ดจะเล่าตั้งแต่แรกเริ่มชีวิตที่สนใจการออกแบบและสนใจความเป็นญี่ปุ่นไปพร้อมกัน สู่ชีวิตที่ได้ทำงานในวงการออกแบบประเทศญี่ปุ่น จนมาถึงทุกวันนี้ที่กลับมายังประเทศไทย และทำงานด้วยความเป็นเป็ด ภาคภูมิ ที่มีทั้งวิธีคิดแบบไทยและญี่ปุ่นในตัวเอง

และสุดท้าย เล่าถึงถึงงานออกแบบชิ้นสนุกที่ทำให้กับ Nippon Haku ครั้งล่าสุดนี้

เป็ด ดีไซน์เนอร์จาก routine studio

แรกรักญี่ปุ่น

เป็ดสนใจความเป็นญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็ก เขาชอบดูการ์ตูน เล่นเกม ฟังเพลง ดูหนัง สารพัดกระแสป๊อปที่มาจากแดนปลาดิบแห่งนี้ แต่ที่น่าสนใจคือ ความสนใจนี้ไม่ได้นำพาเขาไปในเส้นทางการฝึกวาดการ์ตูนเหมือนกับหลาย ๆ คน แต่ไปในเชิงออกแบบแทน

เมื่อก่อนที่มีการจัดประกวดออกแบบหัวนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ เขาก็ลองออกแบบดูบ้าง พยายามคิดค้นว่าเขียนตัวหนังสืออย่างไรถึงจะออกมา ‘เท่’

ถึงวัยมหาวิทยาลัย เป็ดเข้าเรียนในคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเมื่อถึงเวลาเลือกสาขาวิชา เขาก็คิดกับตัวเองว่าสาขาโฆษณาที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนั้น ไม่ค่อยเหมาะกับตัวเขาเท่าไหร่ และเลือกเรียนด้านสิ่งพิมพ์ที่ว่าด้วยกราฟิก ซึ่งสนุกในสายตาของเขามาแต่ไหนแต่ไร

เป็ด ภาคภูมิ กับงานออกแบบแนวผสาน ญี่ปุ่น-ไทย

เป็ดเล่าว่า ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงปี 2000 ที่งานดีไซน์ของญี่ปุ่นกำลังถึงจุดพีคพอดี ก่อนจะเปิดหนังสือให้ดูงานต่าง ๆ ในสมัยนั้น ซึ่งเขามองว่า ญี่ปุ่นรับเลย์เอาท์แบบยุโรปที่ถูกยอมรับว่างาม มาผสมกับ การใช้สเปซในแบบของตัวเอง ทำให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมาได้ บางครั้งก็จะสะอาดลงตัว บางครั้งก็จะมีความดิบหรือความตั้งใจที่จะแหกกฎ ถ้าดูตามหลักการอาจจะเป็นการเลือกใช้กราฟิกที่ไม่น่าเวิร์ก แต่กลับเวิร์กขึ้นมาได้ นี่ก็เป็นอีกความพิเศษของงานดีไซน์ญี่ปุ่น

หลังจากเรียนจบ เขาจึงออกเดินทางไกลครั้งใหญ่ เป็ดเริ่มต้นการเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นให้มีพื้นฐานที่ดีก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะไปทางไหนก่อนดี

ในทีแรก Senmon Gakkou หรือวิทยาลัยวิชาชีพนั้นเป็นตัวเลือกที่เขาสนใจ หากพอเห็นว่ามีหลักสูตรปริญญาโทน่าสนใจ เขาจึงตั้งใจมาทางนี้แทน ก่อนจะเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มอีก 1 ปี สอบเข้าปริญญาโทได้สำเร็จ

เป็ด ภาคภูมิ กับเรื่องราวสมัยเรียนอยู่ญี่ปุ่น

แต้มต่อของดีไซเนอร์

หลักสูตรที่เขาเลือกเรียน เป็นปริญญาโทใน Department of Graphic Design ของ Tama Art University มหาวิทยาลัยด้านศิลปะ-ดีไซน์ชื่อดังของญี่ปุ่น ที่ผลิตผู้คนเจ๋ง ๆ ในวงการมากมาย

แม้คอร์สนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของสายโฆษณา แต่งานโฆษณาของญี่ปุ่นนั้นจะเส้นไปทางกราฟิกดีไซน์เยอะ และคิดไปทั้งระบบ ตั้งแต่แบรนด์ดิ้ง โลโก้ แพ็กเกจจิ้ง โฆษณาทางโทรทัศน์ ไปจนถึงโปสเตอร์ที่อยู่ในรถไฟ ซึ่งตอบโจทย์สิ่งที่เขาหลงใหล

“พอเข้าไปเรียนแล้ว ภาษาก็ยังไม่แข็งแรงอยู่ดีครับ ยังดีที่อาจารย์เข้าใจและช่วยเหลือเราได้ เพราะมันเป็นการเรียนที่เน้น Visual เป็นหลัก แต่ก็รู้สึกว่าถ้าพูดเก่งกว่านี้น่าจะพรีเซนต์งานตัวเองได้ง่ายขึ้น เลยทำให้ต้องขยันทำงานแทน เพื่อให้งานมันสื่อสารได้ด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องพูดกันเยอะมาก”

เป็ด กับการทำงานดีไซน์ที่ญี่ปุ่น

เมื่อถามภาคภูมิว่า อะไรคือสิ่งที่ได้จากการเรียนที่ญี่ปุ่น เขาก็ตอบมาทันทีว่า ‘ความอดทน’ ก่อนจะอธิบายถึงความตั้งอกตั้งใจทำงานของคนชนชาตินี้ที่เขาได้สัมผัส

“อีกอย่างคือ เรื่องความหลากหลายของงานดีไซน์ญี่ปุ่นที่ทำให้ผมมองอะไรกว้างขึ้น คนญี่ปุ่นสามารถนำสิ่งต่าง ๆ มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เช่น Drawing บางอย่างดูไม่น่าจะเวิร์ก แต่พอนำไปวางกับโปรดักต์ให้ถูกที่กลับเข้ากันได้ดี เขาไม่ยึดติดกับวิธีการเดิม ๆ เลย ผมสนุกกับการมองงานดีไซน์ในแง่การแก้ปัญหาแบบนั้นมาก”

เป็ดบอกว่า ไอเดียว้าว ๆ ในงานดีไซน์ญี่ปุ่น มักจะมาจากการพูดคุยกันระหว่างลูกค้าและคนทำงาน โดยทุกคนต่างมีเป้าหมายว่า จะทำงานให้ออกมาดีที่สุด และเมื่อดีแล้วก็พยายามคิดว่าจะทำยังไงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

จากที่เคยเห็นในหนังสือว่างานดีไซน์ญี่ปุ่นเจ๋งแค่ไหน เมื่อมาถึงที่จริง ๆ แล้ว เป็ดก็พบว่ามีของเจ๋ง ๆ อีกมากมาย แม้แต่เดินซูเปอร์มาร์เก็ตก็ได้เห็นงานดี ๆ

เป็ด กับจุดเด่นงานแบบญี่ปุ่น และแบบไทย

ในทางกลับกัน มีวิธีคิดอะไรที่คุณได้จากประเทศไทย แล้วพิเศษในสายตาคนญี่ปุ่นบ้าง

“น่าจะเป็นเรื่องความสบาย ๆ ของพวกเราครับ บางทีคนญี่ปุ่นจะเซอร์ไพรส์กับวิธีการแก้ปัญหาแบบไทย ๆ ซึ่งนอกกรอบจากที่เขาคิดไว้

“ตัวอย่างเช่น คนญี่ปุ่นอาจมองว่าการคลาดเคลื่อนไปแค่ 2 มิลลิเมตรเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องประชุมหาทางแก้ไขกัน แต่คนไทยจะหาวิธีที่ง่ายที่สุดในการไปต่อ เพราะความขี้เกียจของพวกเรานี่แหละครับ” เป็ดเล่ากลั้วหัวเราะ

“กลายเป็นว่ามันไปเซอร์ไพรส์เขาว่า อ๋อ คิดแบบนี้ก็ได้นี่นา อันนี้เกิดขึ้นบ่อยมากเวลาที่คนไทยกับคนญี่ปุ่นทำงานด้วยกันครับ”

ในขณะที่ญี่ปุ่นมีแต้มต่อในความเป็น ‘ระบบ’ ที่ได้มาจากการใช้เวลามากมายและขั้นตอนที่คิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไทยก็มีแต้มต่อในความเป็น ‘มวยวัด’ ซึ่งทั้งสองก็ทำงานร่วมกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

เป็ด ภาคภูมิ กับงานดีไซน์ 2 วัฒนธรรม ไทย-ญี่ปุ่น

เมื่อศิลปะและดีไซน์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

และแล้วความพยายามในการเรียนปริญญาโท ผสมกับมวยวัดสนุก ๆ แบบไทย ๆ ก็ทำให้ เป็ด ภาคภูมิ ได้เป็นคนไทยคนแรกและคนต่างชาติคนแรกในบริษัทออกแบบชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง Groovisions

“ผมว่าเขาน่าจะต้องการ Input ใหม่ ๆ Surprise Element ใหม่ ๆ ในงานบ้าง” ภาคภูมิบอก “ทุกคนจะได้ทำงานในโจทย์เดียวกัน ของใครใช้ได้ก็จะนำมาใช้ เพราะฉะนั้นยิ่งงานแปลกยิ่งดีครับ เขาจะได้มีตัวเลือก”

ที่น่าสนใจคือประเด็นการออกแบบตัวอักษร

“เรารู้ภาษาญี่ปุ่นนะ แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าทำเส้นตัวอักษรยาวไปนิดแล้วความรู้สึกของคำมันจะเปลี่ยนไปแค่ไหน เหมือนเวลาที่คนต่างชาติมาเขียนภาษาไทยแล้วตัวอักษรบางตัวดูแปลกไป ผมเลยคิดว่ามันเป็นทั้งข้อดีทั้งข้อเสีย บางทีเขาให้เราทำเพราะตัวอักษรเราดูงง ๆ ดูน่ารักไปอีกแบบ”

เป็ดเล่าว่าการทำงานดีไซน์ที่ญี่ปุ่นนั้นเครียดมากเพราะจำนวนงานที่ถาโถม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงชีวิตที่สนุกมาก เพราะงานที่ได้ทำมาจากอุตสาหกรรมที่หลากหลาย

เป็ด ภาคภูมิ กับชีวิตช่วงอยู่ที่ญี่ปุ่น

แล้วนอกเวลาเรียนหรือเวลาทำงาน คุณมีไลฟ์สไตล์ที่ญี่ปุ่นยังไงบ้าง

“ผมชอบเข้าร้านหนังสือไปเดินดู โดยเฉพาะหนังสือมือสอง แล้วก็ออกไปดูนิทรรศการเพราะที่ญี่ปุ่นมีงานระดับโลกมาจัดแสดงทุกเดือนจนดูไม่ทัน อย่างงานของ Andy Warhol หรือ Saul Bass ที่เมืองไทยไม่มีทางได้ดูเลย แต่ที่ญี่ปุ่นจัดกันเป็นเรื่องปกติ บางทีก็เป็นงานของดีไซเนอร์ระดับโลกที่ครบรอบ 10 ปีบ้าง 15 ปีบ้าง จัดสลับกันไปเรื่อย ๆ ถ้าใครชอบงานศิลปะหรือดีไซน์ ไปอยู่ญี่ปุ่นคงสะใจมาก”

จากความเห็นของเป็ด เหตุผลที่ญี่ปุ่นมีงานระดับโลกมาจัดแสดงมากมาย และเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย คงเป็นเพราะมีหอศิลป์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งคนญี่ปุ่นเองก็สนใจไปดูงานเหล่านี้กันด้วย

สิ่งหนึ่งที่หลายคนรู้สึกทึ่งกับประเทศญี่ปุ่นคือ งานศิลปะและการออกแบบเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนญี่ปุ่นทั่วไปมากกว่าหลาย ๆ ประเทศในโลก เป็ดบอกว่า คงเป็นเพราะสื่อญี่ปุ่นมีบทบาทมาก และสื่อเหล่านั้นก็คัดสรรเรื่องศิลปะและการออกแบบมาให้ผู้คนเสพในชีวิตประจำวัน

โทรทัศน์มีรายการแนะนำดีไซน์ ตั้งแต่ในช่องเล็ก ๆ ไปจนถึงช่องใหญ่อย่าง NHK นิตยสารเองก็มักจะให้ความรู้เกี่ยวกับดีไซน์ที่ดี ผู้คนที่เสพสื่อจึงรู้สึกว่าหากไปดูนิทรรศการต่าง ๆ ที่สื่อนำเสนอ จะทำให้มีความรู้มากขึ้น หรือแม้แต่ดูดีขึ้น

“อย่างบริษัทน้ำดื่มของญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง เขาคิดว่าจะทำยังไงให้ขายได้ดีขึ้น สุดท้ายก็พบว่าโลโก้มันใหญ่ไปทำให้คนไม่ซื้อ ก็เลยทำขวดให้สวย ทำโลโกให้เล็กลงหรือไม่มีเลย แล้วมันก็ขายดีมาก ๆ สิ่งนี้น่าจะยากที่จะเกิดขึ้นในที่อื่น” เป็ดว่า

“คนเลือกงานที่นั่นเก่งมาก และคนทั่วไปก็มีสายตาในการมองดีไซน์ด้วย แทบไม่มีของไม่สวยให้เห็นเลย ผมคิดว่าเขายกระดับกันไปทั้งประเทศแล้วครับ”

เป็ด กับการก่อตั้ง Routine Studio

อยากทำงาน ‘รูทีน’

เป็ดอยู่ญี่ปุ่นร่วม 12 ปี จากนั้นก็ตัดสินใจย้ายกลับประเทศไทยมาใช้ชีวิตในบทถัดไป และเปิด Routine Studio ร่วมกับยูน

“ใช้ชื่อ Routine Studio เพราะเขินที่จะใช้ชื่อตัวเอง” เขาเล่าอย่างอารมณ์ดี “ผมหาชื่ออยู่นาน อยากได้ชื่อที่ดูธรรมดา ๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด ต้องตื่นแล้วลงมาชั้นล่าง ทำงานเงียบ ๆ ไม่ได้ออกไปไหนจนกลายเป็นกิจวัตร ก็เลยคิดว่าชื่อนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะปกติคนชอบพูดว่าไม่อยากทำงานรูทีน แต่สำหรับผม การทำให้มันเป็นรูทีนก็เป็นทางเดียวที่จะทำให้งานมันสำเร็จออกมาได้ ผมเลยชอบชื่อนี้”

จากการทำงานหนักหน่วงที่ญี่ปุ่น เมื่อกลับมาทำงานของตัวเองที่บ้านเกิด เป้าหมายใหม่ของเขาคือการได้ทำงานที่รักไปเรื่อย ๆ ในจังหวะที่มีความสุข และทำแบบนี้ไปจนแก่เฒ่า

เมื่อถามถึงสไตล์และวิธีการทำงานของ Routine Studio ว่ามีความเป็นไทยและญี่ปุ่นผสมกันอย่างไรบ้าง ดีไซเนอร์คิดสักพัก และค่อย ๆ อธิบาย

“ผมว่าวิธีคิดแบบไทย ๆ มันยังฝังอยู่ในตัว เช่น ทำยังไงให้งานตลก ทำยังไงให้คนรู้สึกดีเวลาที่เห็นงาน คิดว่าความเป็นไทยคือความ Positive อารมณ์ขัน และความมีชีวิตชีวา ส่วนความเป็นญี่ปุ่นก็ยังมีอยู่เหมือนกันครับ เช่น ถ้างานเสร็จออกมาแล้วดูเรียบร้อยไปหน่อย ก็อยากจะเพิ่มอะไรบางอย่างที่มันไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานออกมาบ้าง เพื่อดึงความสนใจของคน”

เป็ด ภาคภูมิ กับงานออกแบบที่ผ่านมา

เราถามถึงงานของเป็ดที่คนมักจะจำได้ เขาก็พูดถึงงานปกหนังสือต่าง ๆ ของ Salmon Books รวมถึงงาน METAPHORS SELECTED SOUNDWORKS FROM THE CINEMA OF APICHATPONG WEERASETHAKUL แผ่นเสียงบรรจุซาวด์ของภาพยนตร์ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

เขามักจะทำงานเกี่ยวกับภาพยนตร์บ่อย ๆ ไม่นานมานี้ก็เพิ่งทำงานให้กับเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ ‘What the Doc!’ ที่จัดโดย Documentary Club ไป

ส่วนงานที่เป็ดกำลังสนุกอยู่ในขณะนี้ คือแบรนด์ ‘บ้านแมวแมว’ (Baan Maew Maew) ที่ทำร่วมกับ วีรภัฎ-วิชชุกร โชคดีทวีอนันต์ แห่ง The Bound House NakhonPathom ซึ่งก่อตั้งช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 พวกเขาออกโปรดักต์มาหลายอย่าง ตั้งแต่หนังสือนิทาน คอลเลกชันเสื้อผ้ามัดย้อม สินค้าไลฟ์สไตล์ รวมถึงโปรดักต์กระดาษที่ร่วมมือกับ Double A โดยมีแมวไทยนำโชคอย่าง แมววิเชียรมาศ แมวดําโกญจา แมวขาวมณี เป็นหัวใจของแบรนด์ และถูกพัฒนาเป็นคาแรกเตอร์ Baan Maew Maew

“แม้จะยังเพิ่มเริ่มต้น แต่ก็มีคอนเซ็ปต์แมวไทยที่น่าจะต่อยอดได้นาน ถ้าเป็นตัวแทนแมวไทยไปเป็นแบรนด์แมวระดับโลกได้ก็คงดี” ดีไซเนอร์กล่าวอย่างมุ่งมั่น

เป็ด กับแนวคิดในการทำงานในอนาคต

Nippon Haku

งานออกแบบที่ทำให้ Nippon Haku ปีนี้เองก็น่าสนใจไม่แพ้งานอื่น ๆ ของภาคภูมิ

“ปีนี้ Nippon Haku ครบรอบ 10 ปี เขาอยากให้มีอะไรใหม่ ๆ บ้าง และอยากให้สื่อถึง ‘Deep Japan’ ที่หมายถึง ‘ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักญี่ปุ่น ไปแล้วก็อยากไปซ้ำอีก’” ดีไซเนอร์เล่า ก่อนจะเปิดไฟล์ ชี้ชวนให้ดูถึงกระบวนการทำงานที่ผ่านมาของโปรเจกต์นี้ “ผมก็เลยคิดว่า อ๋อ มันคล้าย ๆ กับการสะสมตราประทับที่เรียกว่า Hanko รึเปล่านะ เวลาไปเที่ยวที่ต่าง ๆ หรือสถานีแปลก ๆ เขาจะวางแสตมป์ไว้ให้อันหนึ่ง”

“คนที่ไปตามเก็บแสตมป์ก็ทำกันอย่างสงบมาก มันเป็นการสะสมความประทับใจเงียบ ๆ ใครเห็นก็เข้าใจได้ถึงความเป็นญี่ปุ่น แบบไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องอธิบายเยอะ”

เป็ด ภาคภูมิ กับการออกแบบงาน Nippon Haku Bangkok

Key visual งาน Nippon haku

เขาบอกว่า แสตมป์นั้นมีเท็กซ์เจอร์ของมัน ทั้งยังซ้อนทับกันได้ด้วย ซึ่งการที่ได้สะสมแสตมป์ทีละอันจนครบ ก็เข้ากับคอนเซ็ปต์ของ Nippon Haku ที่มีหลายบูท หลายเรื่องให้ดู

โดยแสตมป์ก็จะมีทั้งกาชาปอง ทีมวอลเลย์บอลญี่ปุ่น องค์กรอวกาศของญี่ปุ่น และหลาย ๆ อย่างของประเทศนี้ที่แม้แต่เป็ดซึ่งไปอยู่ญี่ปุ่นมานานนึกไม่ถึง แต่มาออกบูทในคราวนี้ ซึ่งตอบโจทย์แรกที่พูดถึง การที่ยิ่งได้รู้จัก ยิ่งรักญี่ปุ่น ไปมาแล้วก็ยังไปซ้ำได้อีกอย่างสนุกสนาน เพราะมีอะไรให้ค้นหาไม่รู้จบ

“ผมก็ออกแบบสนุกเลย” เป็ดยิ้ม แล้วเล่าถึงความตั้งใจในการทำงานชิ้นนี้

“อยากให้คนมองโปสเตอร์แล้วเห็นความสดใหม่ของงาน ถ้าไม่ได้มานานแล้ว ก็อยากมาเดินอีกครั้งในปีนี้ครับ”

เป็ด ภาคภูมิ กับงาน NIPPON HAKU BANGKOK

Key visual Nippon Haku Bangkok

ก่อนจากกัน ภาคภูมิตอบคำถามสุดท้ายที่ว่า ‘งานที่ดี’ สำหรับเขาแล้วเป็นยังไง

“มันคงมีตัววัดหลายด้าน แต่ตอนนี้เริ่มแก่แล้ว ง่าย ๆ ก็คืองานที่ตัวเองทำแล้วชอบครับ” เขาตอบทันที “ตอนเด็ก ๆ จะมีงานที่ทำแล้วรู้สึกว่าไม่น่าเลย ผมก็เลยอยากให้สิ่งนี้มันน้อยไปเรื่อย ๆ และชอบทุกงานที่ทำครับ”


ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นเจเอ็ดดูเคชั่น
เป็นสำนักงานในประเทศไทยของสถาบันโดยตรง  แนะแนวศึกษาต่อญี่ปุ่นทุกระดับ โดยศิษย์เก่าญี่ปุ่น  ดำเนินการสมัคร เรียนต่อญี่ปุ่น ครบครันทุกขั้นตอน  โดยไม่คิดค่าดำเนินการใด ๆ รวมถึงค่าส่งเอกสารไปที่ญี่ปุ่น

ปรึกษาเรื่องเรียนต่อญี่ปุ่น โทร. 02-267-7726
email : ask@jeducation.com

ขอข้อมูลเพิ่มเติม คุยกับเจ้าหน้าที่ คลิกเลย  >> http://bit.ly/jed-line

Scroll to Top