เรียนภาษาที่ญี่ปุ่น N2

สวัสดีค่า ชื่อซูยุนะคะ วันนี้เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่เราได้ไป เรียนภาษาญี่ปุ่น ที่โรงเรียนสอนภาษา Yokohama Design College ที่ญี่ปุ่นให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ ซึ่งบอกเลยว่าการตัดสินใจมาเรียนญี่ปุ่นครั้งนี้คือไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ จากคนที่ไม่มี JLPT สู่การได้ N2 ติดมือมาหลังเรียนจบ นอกจากนั้นยังได้เรียนรู้อะไรมากมายนอกเหนือจากภาษาอีกด้วยค่ะ

เรียนเท่าไหร่ก็ไม่เก่ง…งั้นไปเรียนที่ญี่ปุ่นเลย!

เราเชื่อว่าหลายๆ คนก็มีเหตุผลของตัวเองในการไปเรียนต่างประเทศแหละ บางคนอาจจะอยากเก่งภาษามากขึ้น บางคนอาจจะอยากใช้ Gap Year พักจากการเรียนมหาลัย หรือการทำงาน แล้วมาใช้ชีวิตเป็นนักเรียนและเที่ยวญี่ปุ่นไปในตัว หรือบางคนอาจจะอยากมาทำงานต่อที่นี่ก็ได้ แต่สำหรับตัวเราคือเราเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น แต่เราพูดญี่ปุ่นไม่คล่อง มันเลยเหมือนเป็น Goal ส่วนตัวเราว่า เราอยากเก่งภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น อยากพูดได้อ่านได้ เลยลองไปเรียนก่อน 1 ปีค่ะ

ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เคยสอบ JLPT N3 มาบ้าง แต่ไม่ผ่านสักรอบ แต่จริงๆ เรามีพื้นฐานอยู่แล้วค่ะ (คิดว่าประมาณ N4-N5) โดยที่เราเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนเด็กๆ สมัยม.ต้น เลยทำให้เราค่อนข้างแน่นเรื่องตัวอักษร แต่เรื่องไวยากรณ์คือ… ลืมสิ้นค่ะ 😂 พอเข้าช่วงมหาลัยเราเลยมาเรียนอีกรอบ ครั้งนี้ก็เรียนจนจบ Minna no Nihongo แต่ยังรู้สึกว่าไม่แน่น เพราะไวยากรณ์ญี่ปุ่นคือยากจริงๆ ค่ะ บางอย่างเข้าใจแต่เอามาปรับใช้ไม่เป็น ส่วนคันจิก็อ่านแทบไม่ได้เลย

Yokohama คำตอบของคนที่อยากมาเรียน…แต่ก็อยากเที่ยวเหมือนกัน

จริงๆ เราอยากแนะนำให้เริ่มจากการเลือกจากความสนใจของตัวเองค่ะ เช่น ถ้าใครชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น ก็อาจจะลองดูโรงเรียนแถวเกียวโต หรือถ้าใครชอบอนิเมะ ก็อาจจะลองดูโรงเรียนในย่าน Akihabara อย่างเราคือเราชอบเที่ยวมาก และชอบความเมืองหน่อย เพราะติดความสะดวกสบาย แต่เราคิดว่าโตเกียวคนเยอะเกินไปอาจจะพลุกพล่าน เราเลยเลือกเมืองที่อยู่ถัดจากโตเกียวมาหน่อย เลยได้มาเป็น Yokohama ที่โรงเรียน Yokohama Design College ค่ะ ซึ่งค่าที่พักที่นี่ก็ถือว่าถูกกว่าโตเกียวด้วยค่ะ

เรียนไปด้วย เล่นไปด้วย กับกิจกรรมมากมายที่โรงเรียนจัดให้

ไปถึงคือเค้าจะให้เราทดสอบก่อนค่ะว่าอยู่ระดับไหน หลังจากนั้นถึงค่อยแยกคลาสค่ะ ซึ่งห้องเราตอนเรียนครั้งแรกก็เริ่มจากการเรียน Minna no Nihongo เล่มสอง (ของญี่ปุ่นแบ่งเป็น 2 เล่ม) ซึ่งก็เหมือนการเรียนซ้ำเพราะความรู้เรายังไม่แน่นค่ะ ตอนช่วงแรกๆ เซนเซจะยังไม่ได้เน้นให้มุ่งสอบ JLPT มากนัก เหมือนเป็นการปรับพื้นฐานให้แน่นมากกว่าค่ะ

หลังจากเรียนจบ Minna no Nihongo ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งเทอม หลักสูตรก็จะเปลี่ยนไปโฟกัสการสอบ JLPT มากขึ้นค่ะ โรงเรียนก็จะมีหนังสือ N3 มาให้ แบ่งเล่มเป็นไวยากรณ์ คันจิ การอ่าน การฟัง แบบครบเลยค่ะ

ส่วนบรรยากาศในโรงเรียนก็สนุกมากค่ะ เพราะโรงเรียนนี้กิจกรรมเยอะมาก ซึ่งอันนี้เราเห็นตั้งแต่ตอนก่อนสมัครแล้วว่าโรงเรียนนี้ดูมีกิจกรรมเยอะ จึงเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เราเลือกที่นี่ด้วย เราได้ลองเป็น Volunteer ไปช่วยเซนเซออกบูทขายป๊อปคอร์น แล้วก็ยังได้ไปทำกิจกรรมและเปลี่ยนภาษามากมาย มีทั้ง ได้ไปเป็น Guest Speaker ที่โรงเรียนมัธยมญี่ปุ่น (ได้เงินด้วยนะ) ฟีลแบบทำไบต์เลยค่ะ เพราะเหมือนโรงเรียนเราเค้าจะชอบโคกับโรงเรียนมัธยม เพื่อให้นักเรียนต่างชาติและนักเรียนญี่ปุ่นได้แลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมกัน ใครชอบคุยกับเด็กๆ น่าจะจอยค่ะ

นอกจากเรื่องกิจกรรมแล้ว เรายังได้เพื่อนจากโรงเรียนมาเยอะมากๆ ไม่ได้มีแต่เพื่อนคนไทย แต่มีหลายประเทศทั่วโลกเลยจริงๆ ซึ่งการที่เราได้มาเจอเพื่อนหลากหลายเชื้อชาติ ทำให้เราได้มองโลกกว้างมากขึ้นด้วย

ในวันที่เป้าหมาย N2 ของเราสำเร็จ

เรารู้สึกว่า 1 ปีคือสั้นมาก ผ่านไปไวสุดๆ เราเลยต่ออีก 6 เดือนค่ะ อีก 6 เดือนที่เหลือ เราก็ได้ย้ายคลาสไปคลาสที่โฟกัส N2 ค่ะ บอกเลยว่ายากมาก เราบอกแบบตรงๆ เลยว่า เราจะหวังพึ่งการสอนของเซนเซที่โรงเรียนอย่างเดียวไม่พอจริงๆ (เซนเซพูดเองเลยค่ะ) เพราะตัวเราเองก็ควรจะอ่านทบทวนเองด้วย ส่วนตัวก็อ่านเองทุกวันเหมือนกันค่ะ เพราะ N3 มา N2 คือยากจริงๆ

จนสุดท้ายก็สอบผ่านมาได้ ภูมิใจในตัวเองอยู่เหมือนกันนะ 😆

แชร์เฮาส์…อีกหนึ่งประสบการณ์ที่ไม่อยากให้พลาด

นอกจากเรื่องโรงเรียนแล้ว สิ่งที่เราแนะนำอยากให้ทุกคนเตรียมตัวก่อนไปคือการหาที่พักค่ะ การหาที่พักที่ญี่ปุ่นอาจจะหาเองได้ยากหน่อยถ้าเป็นในรูปแบบอพาร์ทเมนต์แบบอยู่คนเดียว อันนี้เราจะแนะนำให้หาเอเจนซี่ที่เป็นตัวกลาง เพราะเค้าจะคอยช่วยหาหอพักให้เรา และแนะนำไปจนถึงการทำสัญญาเช่าได้ค่ะ แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องเป็นอพาร์ทเมนต์ การหา Share house เป็นอะไรที่เราอยากแนะนำมากๆ อย่างเราเองก็เลือกอยู่แบบแชร์เฮาส์เหมือนกันค่ะ (เราใช้ของ Oakhouse) เรื่องการทำสัญญาเช่าส่วนใหญ่จะไม่ยุ่งยาก และมีให้เลือกอยู่แบบระยะสั้นได้ด้วย

Share house ส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นคือจะมีห้องนอนส่วนตัว และจะแชร์พวกห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่นกับคนอื่นค่ะ เหมาะกับคนขี้เหงาสุดๆ ย้อนกลับไปได้เราก็ยังอยากไปอยู่แบบแชร์เฮาส์อยู่ดีนะ เพราะเราได้เพื่อนกลับมาเยอะมาก มีทั้งคนญี่ปุ่นและเพื่อนๆ ชาวต่างชาติมากมายเลยค่ะ แล้วอย่างแชร์เฮาส์เราเค้าจะชอบจัดปาร์ตี้ทุกเดือน เลยทำให้รู้สึกอบอุ่นมากๆ รู้สึกว่าโชคดีจริงๆ ที่ได้มาอยู่ที่นี่

ข้อดีอีกอย่างของการอยู่แบบแชร์เฮาส์คือเราไม่ต้องไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ด้วยค่ะ เพราะถ้าเป็นอพาร์ทเมนต์จะต้องเช่าหรือหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่หมดเลย อันนี้ก็เลยจะเป็นจุดที่สะดวกดีค่ะ

รีวิวการทำไบต์ที่ญี่ปุ่น (เสริมสำหรับใครที่อยากทำ)

งานพิเศษที่ญี่ปุ่นถือว่ามีให้เลือกเยอะมากค่ะ เค้าจะมีแอปให้หาไบต์ (Arubaito/ไบต์ = งานพิเศษ) เยอะมาก ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างก็ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ไบต์ที่เราทำที่แรกเป็นร้านอาหาร แต่เราไม่ประทับใจเลย แต่ถ้าเล่าในนี้หมดอาจจะยาวเกิน เราเลยออกไปทำอีกงานค่ะ ซึ่งอีกงานก็เป็นร้านอาหารเช่นกัน แต่เราแฮปปี้กับที่นี่มาก เทนโจใจดี เพื่อนร่วมงานน่ารัก เราเลยอยากบอกทุกคนว่า ถ้าใครอยากลองทำไบต์แล้วไม่ชอบกลัวเจอที่แย่ๆ เราจะบอกว่าลองดูก่อนได้ค่ะ แต่ถ้ามันเกิดแย่ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ต้องไปทนนะคะ เพราะมันมีอีกหลายที่ที่เค้าพร้อมจะต้อนรับเราแบบดีๆ อยู่จริงๆ ค่ะ

ส่วนอีกงานที่เราทำเรื่อยๆ คือการสอนภาษาไทยกับภาษาอังกฤษให้คนญี่ปุ่นค่ะ อันนี้ค่าชั่วโมงก็จะเยอะกว่าร้านอาหารที่ทำ แต่ก็ไม่ได้มีมาให้สอนเยอะขนาดนั้นค่ะ แต่เราก็ชอบนะ เราได้สกิลพรีเซนต์จากงานนี้เลยค่ะเพราะต้องทำสไลด์ เตรียมการสอนเองด้วย

เรียนในห้องก็สำคัญ…แต่ชีวิตจริงต่างหากที่ทำให้เก่ง

เอาจริงตอนนี้เราก็คิดว่าตัวเองยังไม่เก่งอะไรนะ แต่ถือว่า สิ่งที่ได้มันเป็น Big Step จากเมื่อก่อนมากๆ เพราะเราสามารถสื่อสารในภาษาญี่ปุ่นแบบเม้ามอยได้ หรือใช้ใชีวิตประจำวันแบบไปทำธุระได้ เราว่านอกจากโรงเรียนหรือการเรียนในเล่มแล้ว สิ่งที่จะทำให้เราเก่งภาษาญี่ปุ่นมากขึ้นคือการได้ใช้ชีวิตค่ะ เพราะสิ่งแวดล้อมทุกอย่างมันจะหล่อหลอมให้เราต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นแบบไม่รู้ตัวจริงๆ เช่น การคุยกับคนในแชร์เฮาส์ การได้ไปทำไบต์ หรือแม้กระทั่งการไปร้านทำผม เพราะช่างทำผมชอบชวนคุย


สิ่งที่ได้เรียนรู้ นอกเหนือจากภาษาญี่ปุ่น

  • เราได้สกิลการใช้ชีวิตแบบที่เรียกว่าเป็นคน Independant มากขึ้นจริงๆ ค่ะ เช่น การพึ่งพาตัวเองในหลายๆ ด้าน เช่น ไปทำธุระที่เขต หรือตอนไม่สบายก็ต้องไปหาหมอที่คลินิกเอง
  • การจัดการเวลาและหน้าที่ของตัวเองในฐานะนักเรียน เวลาไหนควรเที่ยว เที่ยวเสร็จแล้วก็ต้องแบ่งเวลาเผื่ออ่านหนังสือด้วย
  • การดูแลตัวเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง เช่น การทำความสะอาดห้อง การจัดเก็บขยะ การทำอาหารกินเอง
  • การที่เราได้มีเพื่อนใหม่ๆ หลากหลายประเทศ ทำให้เราเป็นคนมองโลกแบบ Open-minded มากขึ้น มีความเข้าใจคนมากขึ้น
  • การทำไบต์ก็ทำให้เราเป็นคนกระฉับกระเฉงขึ้น มีความเข้าใจคนที่ทำงานด้านบริการมากขึ้นว่ามันเหนื่อยจริงๆ นะ หลังจากนั้นเราเอ็นดูพนักงานทุกคนเลยค่ะเวลาไปกินข้าวที่ร้านอาหารแต่ละที่
  • การแบ่งเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วน เช่น ค่าห้อง ค่ากิน ค่าเดินทางต่างๆ ส่วนค่าช็อปกับไลฟสไตล์ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลย อย่างเรารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนชอบช็อปปิ้ง การทำไบต์เลยทำให้มีเงินเก็บเยอะขึ้นด้วยค่ะ

สุดท้ายเราอยากจะฝากทุกคนลองตั้งเป้าหมายให้ตัวเองดูค่ะ ว่าอยากทำอะไรที่ญี่ปุ่น

อยากเที่ยว เรียน หรือทำงาน ลองตั้งไว้เล่นๆ เช่น ถ้าสมมติอยากมาทำงาน จะต่อยอดยังไงจากการเรียนภาษาญี่ปุ่นไปสู่การทำงานที่ญี่ปุ่น บางที การแพลนไว้ล่วงหน้าจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมากค่ะ แต่ถ้าเกิดระหว่างใช้ชีวิตไปแล้วเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็ไม่เป็นไรเลยค่ะ แพลนเราเองก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นกัน ตอนแรกเราก็ว่าจะมาเรียนแค่ปีเดียว ไปๆ มาๆ เราเรียนไปทั้งหมด 1 ปีครึ่งค่ะ เพราะตอนแรกเราคิดแค่ว่าอยากลองมาเรียนและถ้ามีโอกาสได้งานก็ดี แต่ลืมนึกไปเลยว่า จะสมัครงานได้ก็ต้องใช้ JLPT N2 เราเลยมาเน้นอ่านตอนหลังๆ ด้วยค่ะ เลยแนะนำว่า ใครรู้เร็วก็ได้เปรียบค่ะ

 

เล่ามายาวมากเลย จริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้เขียนในบทความนี้ด้วย ถ้าน้องๆ พี่ๆ คนไหนอยากทราบข้อมูลแบบละเอียดเกี่ยวกับการเลือกโรงเรียน สามารถติดต่อพี่ๆ Jeducation ได้เลยค่ะ เพราะทีมเจ๊เอ๊ดดูแลเอกสารให้ครบจบจริงๆ แบบไม่ต้องกังวลอะไรเลยค่ะ แต่ถ้าใครอยากทราบประสบการณ์ส่วนตัวของเราในญี่ปุ่นเพิ่มเติม สามารถทักเรามาหลังไมค์ได้เลยนะคะ ขอบคุณมากเลยค่า

ซูยุ – นักเรียนเจ๊เอ๊ด
หลักสูตรภาษาระยะยาวที่ญี่ปุ่น ( 1 ปี 6 เดือน )
สถาบันสอนภาษา Yokohama Design College


ติดต่อสอบถาม – สมัคร เรียนต่อญี่ปุ่น
email : ask@jeducation.com

เพิ่มเพื่อน


กำลังรับสมัคร

เรียนภาษาที่ญี่ปุ่น ระยะยาว 1 – 2 ปี
ภาคเรียนเมษายน 2026

เรียนภาษาที่ญี่ปุ่น เมษายน 2026 รับสมัครแล้ว

คลิกดูรายละเอียดการรับสมัคร
Scroll to Top