เรียนต่อป.ตรี ที่ญี่ปุ่น ต้องเตรียมตัวอย่างไร
ใครอยากไป เรียนต่อป.ตรี ที่ญี่ปุ่น แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน…ขอให้ยกมือขึ้น! ????♀️????♂️
เจ๊เอ๊ดบอกได้เลยว่า ก่อนจะไปเรียนต่อได้นั้น มีสารพัดเรื่องให้เราต้องจัดการ
ไหนจะเรื่องการเลือกสถาบัน ยื่นใบสมัคร เตรียมสอบภาษา ขอเอกสารจากโรงเรียน เตรียมเอกสารประวัติส่วนตัว เอกสารผู้ค้ำประกัน ทำวีซ่า หาหอพักและอีกมากมายล้านแปด
6 ข้อนี้ คือเรื่องสำคัญสำหรับการ เรียนต่อป.ตรี ที่ญี่ปุ่น ที่เจ๊เอ๊ดสรุปมาให้เข้าใจง่ายๆ และสามารถทำตามได้ทีละขั้นตอน
- วางไทม์ไลน์ ให้ดีไม่มีพลาด
- ฝึกภาษาญี่ปุ่นให้พร้อม พิชิตคะแนนสอบให้ได้
- คิดจะต่ออินเตอร์ คิดถึง TOEFL / IELTS
- เก็บเงินให้ได้…เก็บไม่ไหวต้องหาทุน
- ไม่ลืมเอกสาร ด้วยการทำ Checklist
- หาที่ปรึกษาเอาไว้ อุ่นใจกว่า
ถ้าไม่อยากนั่งปวดหัว มาเริ่มเตรียมตัวให้พร้อมกันตั้งแต่เนิ่นๆ เลยดีมั้ยคะ
เรียนต่อป.ตรี ที่ญี่ปุ่น ต้องวางไทม์ไลน์ให้ดี ไม่มีพลาด
อย่างที่เจ๊เอ๊ดบอกไปแล้วว่า การเตรียมตัวไปเรียนต่อญี่ปุ่นนั้นมีหลายขั้นตอน ดังนั้นทางที่ดีมาเริ่มต้นวางแผนชีวิตด้วยการจัดตารางให้ตัวเองกันดีกว่าค่ะ เพื่อที่จะได้ไม่หลุด ไม่หลงลืมขั้นตอนสำคัญๆ ไป
ตัวอย่างการวางไทม์ไลน์ เพื่อเรียนต่อป.ตรี ที่ญี่ปุ่น
ก่อนอื่นเลย เช็คความรู้ทางภาษาของตัวเองอย่างจริงจัง เพื่อเตรียมให้พร้อม
ถ้าภาษาญี่ปุ่นยังเพิ่งเริ่มต้น ก็ลงเรียนภาษาในโรงเรียนสอนภาษาที่ไทย ให้ได้อย่างน้อยระดับ N5 หรือได้ 150 ชั่วโมง แล้วเผื่อเวลาไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นอีกประมาณ 1 ปี – 1 ปีครึ่ง เพื่อให้มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นอย่างน้อยระดับ N2
เมื่อมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นถึง N2 แล้ว
- เดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม: ศึกษาข้อมูลของหลายๆ สถาบันเพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ว่าจะยื่นสมัครที่ไหนบ้าง ควรเผื่อไว้ 3-5 มหาวิทยาลัย
- เดือนมิถุนายน: สอบ EJU (Examination for Japanese University Admission for International Student) ครั้งที่ 1
- เดือนสิงหาคม – เดือนตุลาคม: เตรียมเอกสารให้พร้อม ยื่นสมัครเข้ามหาวิทยาลัย
- เดือนพฤศจิกายน: สอบ EJU (Examination for Japanese University Admission for International Student) ครั้งที่ 2
- เดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์: สอบตรงของมหาวิทยาลัย / รอผลจากมหาวิทยาลัย
- เดือนเมษายน: เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
ฝึกภาษาญี่ปุ่นให้พร้อม พิชิตคะแนนสอบให้ได้
การไปเรียนต่อหลักสูตรญี่ปุ่น ในมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นนั้นควรจะมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นอย่างน้อยที่สุดก็คือระดับ N2 ดังนั้นถ้าเรารู้ตัวว่าภาษายังไม่แข็งแรงก็ต้องรีบฝึกภาษากันตั้งแต่วันนี้แล้วละค่ะ
น้องๆ ควรจะเริ่มคอร์สติวเข้มภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่อยู่ในไทย แล้วค่อยไปเรียนเพิ่มเติมในสถาบันภาษาที่ญี่ปุ่น อย่างน้อย 1 ปี – 1 ปีครึ่ง ซึ่งโรงเรียนสอนภาษาที่ญี่ปุ่นหลายแห่งจะมีหลักสูตรเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยเฉพาะค่ะ คือเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้ว ยังต้องเรียนวิชาต่างๆ เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ Japan and the World
การเข้าเรียนในโรงเรียนสอนภาษาที่ญี่ปุ่นอย่างน้อย 1 ปี – 1 ปีครึ่ง แล้วค่อยสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นเรื่องปรกติค่ะ
>> โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น เพื่อเตรียมสอบเข้าปริญญาตรีที่ญี่ปุ่น
สำหรับน้องๆ ที่เล็งหลักสูตรอินเตอร์ไว้ อย่าเพิ่งโล่งใจและมองข้ามข้อนี้ไปนะคะ แม้ว่าน้องๆ จะไม่ต้องใช้คะแนนสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นในการสมัครเรียน แต่ก็ใช่ว่าความรู้ภาษาญี่ปุ่นเป็นศูนย์จะสามารถไปเรียนได้ อย่างน้อยน้องๆ ควรมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นในระดับที่สื่อสารในชีวิตประจำวันติดตัวไปด้วย
สรุปง่ายๆ ไม่ว่าน้องๆ จะเรียนต่อในหลักสูตรญี่ปุ่นหรือหลักสูตรอินเตอร์ ก็ต้องเริ่มเรียนและฝึกภาษาญี่ปุ่นกันได้แล้วนะคะ
เรียนต่อป.ตรี ที่ญี่ปุ่น หากคิดจะต่อหลักสูตรอินเตอร์ คิดถึง TOEFL / IELTS
ใครมีแพลนจะไปเรียนต่อ หลักสูตรอินเตอร์ ในมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น ถึงเวลาต้องฟิตภาษาอังกฤษกันหน่อยแล้วค่ะ เพราะหลักสูตรนี้จำเป็นต้องใช้คะแนน TOEFL 79 คะแนนขึ้นไป หรือไม่ก็ IELTS 6.0 ขึ้นไป
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่าจะเลือกสอบอะไรดีกว่ากัน…เจ๊เอ๊ดคงจะเลือกแทนน้องๆ ไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็คงถนัดไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้น้องๆ ตัดสินใจง่ายขึ้นนะคะ
- Listening Part
– IELTS: สอบโดยเห็นโจทย์ก่อนเริ่มฟัง เน้นคำถามเกี่ยวกับคำศัพท์ ยิ่งจำศัพท์เก่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบเท่านั้น
– TOEFL: สอบโดยไม่เห็นโจทย์ก่อน เน้นจับใจความให้ได้ โดยคำถามเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันและบทสนทนาต่างๆ
- Reading Part
– IELTS: มีบทความให้อ่านหลากหลายประเภท และมีคำถามหลายรูปแบบ เช่น เติมคำในช่องว่าง ถูกผิด multiple choice
– TOEFL: เน้นบทความแนววิชาการจากสาขาต่างๆ ที่มักพบเจอในหนังสือเรียนระดับมหาวิทยาลัย 3-4 เรื่อง โดยตอบแบบ multiple choice
- Writing Part
– IELTS:
Task 1 – เขียนบรรยายข้อมูลจากสิ่งที่เห็น โดยมีข้อมูลในรูปแบบกราฟหรือตารางมาให้
Task 2 – เขียนแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่เป็นเรื่องถกเถียงกัน
– TOEFL:
Task 1 – อ่านบทความสั้นตามด้วยฟังบทบรรยาย จากนั้นเขียนสรุปประเด็นจากเรื่องนั้นๆ
Task 2 – เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่กำหนดให้ โดยต้องมีเหตุผลและประสบการณ์ส่วนตัวมาประกอบ
- Speaking Part
– IELTS: พูดกับคนจริงๆ ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ใช้เวลาประมาณ 12-14 นาที โดยแนะนำตัว ตอบคำถามจากภาพหรือหัวข้อที่กรรมการกำหนด และอภิปรายหัวข้อต่างๆ
– TOEFL: พูดกับคอมพิวเตอร์ โดยจับเวลา 17 นาที หากพูดผิดหรือพูดไม่ชัดอาจโดนหักคะแนนได้
มีข้อสอบ 4 ส่วน
> ส่วนที่ 1 ตอบคำถาม โดยแสดงความเห็นส่วนตัวและเหตุผลประกอบตัวเลือก หรือเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย
> ส่วนที่ 2-3 อ่านบทความสั้น และฟังบทบรรยาย จากนั้นจึงค่อยตอบคำถาม
> ส่วนที่ 4 ฟังบทบรรยายเชิงวิชาการ และสรุปประเด็นสำคัญจากสิ่งที่ได้ฟัง
เก็บเงินให้ได้…เก็บไม่ไหวต้องหาทุน
หลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า การไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่น ต้องใช้เงินขั้นต่ำราวๆ ปีละ 8 แสนบาท ถ้าครอบครัวน้องๆ พร้อมซัพพอร์ต หรือมีเงินเก็บอยู่แล้ว ก็หมดความกังวลไปได้อีกหนึ่งข้อ
แต่สำหรับใครที่เงินทุนไม่มากพอ ก็อย่าเพิ่งถอดใจไปนะคะ เพราะประเทศญี่ปุ่นมีทุนการศึกษาเยอะมากๆ โดยทุนนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ
รูปแบบแรก ทุนที่สมัครสอบในไทย
ทุนรูปแบบนี้มีหลายแหล่งเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น
– ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น มีทั้งทุนสำหรับเรียนต่อระดับปริญญาตรี โท เอก วิทยาลัยอาชีวศึกษาและวิทยาลัยเทคนิค
– ทุนแลกเปลี่ยนระยะสั้นของมหาวิทยาลัย
– ทุนรัฐบาลไทย
– ทุนหน่วยงานเอกชน เช่น ทุนอะยิโนะโมะโตะ
รูปแบบที่ 2 ทุนที่สมัครในญี่ปุ่น
หลังจากเราสอบเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นได้แล้ว สามารถยื่นขอทุนลดค่าเล่าเรียนหรือ ทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติในญี่ปุ่นได้ ทุนลักษณะนี้มีโอกาสที่เราจะได้สูงมากๆ ยิ่งความสามารถเยอะเท่าไหร่ จำนวนเงินทุนยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ลืมเอกสาร ด้วยการทำ Checklist
เจ๊เอ๊ดว่า เรื่องเอกสารเป็นอะไรที่น่าปวดหัวที่สุดแล้วละค่ะ เพราะการเรียนต่อนั้นต้องใช้เอกสารเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ถ้าน้องๆ ไม่อยากเสียเวลากับข้อผิดพลาดจุกจิกมาทำ Checklist เอกสารสำหรับสมัครเรียนต่อกันเลยดีกว่า
กรณีที่จะไปเสริมทักษะภาษาญี่ปุ่นในสถาบันภาษาที่ญี่ปุ่น ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย อันดับแรก น้องๆ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เอกสารที่จำเป็นในการสมัครเข้าเรียนนั้น แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ
1) เอกสารของผู้สมัคร และ
2) เอกสารของผู้ค้ำประกัน
- เอกสารของผู้สมัคร ได้แก่
✔ ใบรับรองการสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุด
✔ ใบแสดงผลการเรียน
✔ ใบรับรองการศึกษาภาษาญี่ปุ่น
✔ เอกสารแสดงภูมิลำเนา ที่อยู่และความสัมพันธ์กับผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
✔ สำเนาหนังสือเดินทาง
✔ รูปถ่าย ขนาด 4X3 ซม. ( 1 นิ้วครึ่ง )
- เอกสารของผู้ค้ำประกัน ได้แก่
– กรณีที่ผู้ค้ำประกันพำนักอยู่ในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ นอกประเทศญี่ปุ่น –
✔ เอกสารรับรองทางการเงินจากธนาคาร
✔ เอกสารแสดงสถานภาพการทำงาน
✔ เอกสารแสดงยอดเงินรายได้ประจำปี
✔ เอกสารส่วนตัว แสดงความสัมพันธ์กับผู้สมัคร
– เอกสารของผู้ค้ำประกัน (กรณีที่ผู้ค้ำประกันอยู่ในประเทศญี่ปุ่น) –
✔ เอกสารแสดงรายได้และสถานะทางการเงิน
✔ เอกสารรับรองสถานภาพการทำงาน
✔ เอกสารส่วนตัวของผู้ค้ำประกัน
✔ เอกสารรับรองตราประทับ
✔ เอกสารส่วนตัว แสดงความสัมพันธ์กับผู้สมัคร
ในกรณีที่จะยื่นสมัครเข้ามหาวิทยาลัย ก็จะมีเอกสารเพิ่มเติม เช่น Recommendation Letter , คะแนนการสอบ EJU , ผลการสอบภาษาอังกฤษ หรือภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น
หาที่ปรึกษาเอาไว้ อุ่นใจกว่า
นอกเหนือจากขั้นตอนการสมัครเรียนและการเตรียมเอกสารแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่น้องๆ ต้องรู้และเตรียมตัวให้ดีก่อนเดินทางไปเรียนต่อ ไม่ว่าจะเป็นการหาที่พัก การหางานพิเศษทำ การเดินทาง การกินอยู่ การปรับตัว ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าการจะรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้ จำเป็นต้องสอบถามจากคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้วเท่านั้น
ดังนั้น เจ๊เอ๊ดขอแนะนำว่า น้องๆ ควรจะหาที่ปรึกษาหรือคนที่สามารถให้คำแนะนำและไว้ใจได้สักคน อาจเริ่มต้นจากการตามอ่านรีวิวในเพจต่างๆ เข้าไปส่องดูคลิปใน YouTube หรืออาจลองไปคุยกับรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่เคยไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นดูก็ได้
แต่สำหรับน้องๆ คนไหนที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นปรึกษาใครดี เจ๊เอ๊ดแนะนำให้ลองขอคำปรึกษาจากเอเจนซี่ดูค่ะ ทีมเจ๊เอ๊ดเองก็ยินดีแนะนำน้องๆ โดยไม่คิดเงิน โดยน้องๆ สามารถวางใจได้เลยว่า ข้อมูลที่ได้จากทีมงานแนะแนวของเจ๊เอ๊ดนั้นเชื่อถือได้อย่างแน่นอน เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่เคยไปเรียนที่ญี่ปุ่นกันมาทั้งนั้น นอกจากนี้เจ๊เอ๊ดยังมี Support Desk คอยช่วยเหลือน้องๆ อยู่ที่ญี่ปุ่นอีกด้วยนะคะ
>> ทำไมถึงสมัครเรียนต่อญี่ปุ่นกับเจเอ็ดดูเคชั่น
ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นเจเอ็ดดูเคชั่น
เป็นสำนักงานตัวแทนในประเทศไทยของสถาบันการศึกษาที่ญี่ปุ่นโดยตรง เปิดตั้งแต่ปีค.ศ.1999 แนะแนวโดยศิษย์เก่าญี่ปุ่น ดำเนินการสมัคร เรียนต่อญี่ปุ่น ครบครันทุกขั้นตอน สมัครเรียนกับโรงเรียนที่เจเอ็ดดูเคชั่นเป็นตัวแทน เหมือนการสมัครเรียนกับโรงเรียนที่ญี่ปุ่นโดยตรง ไม่คิดค่าดำเนินการใดๆ
รับรองโดยสมาคมไทยแนะแนวการศึกษานานาชาติ (TIECA)
ติดต่อสอบถาม – สมัคร เรียน
โทร. 02-2677726
email : ask@jeducation.com
คุยกับเจ้าหน้าที่แนะแนว ศิษย์เก่าญี่ปุ่น คลิก http://bit.ly/jed-line