แท็กซี่ในญี่ปุ่น (タクシー)
ปกติผมไม่ค่อยขึ้นแท็กซี่หรอกครับ ตลอดช่วงที่อยู่ญี่ปุ่นก็ขึ้นแท็กซี่เพียงสองครั้งเท่านั้น เพราะการเดินทางในโตเกียวด้วยรถไฟนั้นแสนสะดวกกว่ามาก ค่าแท็กซี่ที่นี่แพงกว่าเมืองไทยแน่ๆ ไหนจะค่าน้ำมัน ค่าบริการ คิดแล้วก็อดสงสารคนขับรถแท็กซี่ที่ต้องหาคนพอสมควร
โดยปกติ แท็กซี่ในญี่ปุ่น จะไปจอดตามหน้าสถานี เรียกที่จอดว่า「タクシーのりば」(takushii-noriba;のりば:noriba:ที่ขึ้น)หรือที่จอดแท็กซี่นั่นเอง
บางทีก็จอดเสียไกล จะเรียกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่สถานี ขนาดเรียกตรงสี่แยกแท็กซี่ก็จอดครับ ขวางทางรถเลี้ยวก็ไม่สน เห็นแล้วอึ้งเพราะไม่คิดว่าจะมีที่ญี่ปุ่นด้วย เมืองใหญ่อย่างโตเกียวก็อย่างนี้แหละครับ ขนาดตอนที่ไปอยู่ต่างจังหวัด คนจะข้ามเขาก็จะชะลอรถให้ข้ามไปก่อน แต่สำหรับโตเกียวอย่าหวังครับ ยิ่งพวกรถบรรทุก มันจะไม่ค่อยสนคนเดิน
แท็กซี่ที่ญี่ปุ่นเหมือนเมืองไทยที่ มีทั้งแท็กซี่บริษัท และแท็กซี่ส่วนบุคคล เวลาที่รถว่างรอรับผู้โดยสารจะขึ้นไฟสีแดงด้านขวารถเหมือนแท็กซี่บ้านเราว่า “ว่าง” ที่นี่ใช้คำว่า「空車」(kuusha)ล่าสุดคนขับแท็กซี่สอนผมว่าถ้าเวลากลางวันดูไฟตรงกระจกรถนี่สะดวกสุด เพราะไฟแดงแยงตาดี (ถ้ามีผู้โดยสาร ไฟก็จะดับลงเหมือนของบ้านเรา)
แต่จริงๆ แล้วไฟที่ขึ้นตรงนี้นอกจากคำว่า “ว่าง” แล้ว ยังมีตัวอักษรอื่นด้วย เช่น 「回送」(kaisou)หมายถึง การตีรถเปล่า (คำนี้เราพบเวลารถไฟตีรถเปล่าเข้าอู่เหมือนกัน) หรือ「貸切」(kashikiri)หมายถึง การเช่าเหมารถ เช่น มีคนโทรเรียกรถมา รถก็ต้องตีรถเปล่าไปรับ ในช่วงนั้นก็จะขึ้นเครื่องหมายนี้
บางทีเห็นไฟแดงๆ นึกว่ารถว่าง มองเข้าไปก็ไม่มีใครโดยสาร แต่จริงๆ แล้วรถอาจจะกำลังไปส่งรถที่บริษัท หรือไปรับคน อาจจะเรียกเก้อได้ ฉะนั้นเวลากลางคืน ควรจะสังเกตไฟบนหัวรถแท็กซี่เป็นหลัก ไฟนี้จะสว่างก็ต่อเมื่อเป็นรถรอรับผู้โดยสารเท่านั้น
แท็กซี่ในโตเกียว จะมีสองขนาดหลักๆ แท็กซี่ขนาดเล็ก(小型タクシー:kogata takushii) และ แท็กซี่ขนาดกลาง(中型タクシー:chuugata takushii)กระโปรงรถหลังจะกว้าง เหมาะสำหรับคนที่มีสัมภาระมาก ราคาไม่ค่อยแตกต่างกัน รถเล็กมิเตอร์จะวิ่งช้ากว่า ราคาจึงถูกกว่า จึงไม่ควรใช้แท็กซี่ขนาดใหญ่เกินความจำเป็น จำนวนคนนั่งไม่เกิน 4 คน (เกินกว่านี้รถอาจจะไม่ยอมไป)
โดยปกติแท็กซี่ที่นี่จะต้องรู้เส้นทางวิ่งเอง ถ้านั่งแท็กซี่คันไหนแล้วบอกว่าไม่รู้จักทาง ต้องบอกว่า「失格」(shikkaku)หรือ “ขาดคุณสมบัติ” คนขับแท็กซี่ มาคิดแบบเข้าข้างคนขับก็น่าเห็นใจ สถานที่ตั้งมากมาย ใครจะไปรู้หมด
แต่เดี๋ยวนี้เป็นยุคไม่รู้ไม่ได้ เพราะแท็กซี่ส่วนใหญ่จะมี「カーナビ」(kaanabi:ย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า Car Navigator)เป็นโทรทัศน์ติดตั้งในรถ โดยปกติจะฉายแผนที่เส้นทางถนน เพียงเราบอกจุดหมายปลายทาง คนขับจะคีย์ข้อมูลใส่เข้าไป เครื่องก็จะคำนวณเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้ แล้วยังคำนวณเวลาคร่าวๆ ที่ใช้ตลอดเส้นทางให้ทราบล่วงหน้าว่าจะถึงเมื่อไหร่
เครื่องแนะนำเส้นทางเป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ในรถยนต์ปัจจุบันไม่เฉพาะแค่รถแท็กซี่ เพราะมีบริการตรวจสอบเส้นทางด้วย และจะคอยรายงานเป็นระยะๆ ว่าเส้นทางที่ไปรถติดหรือไม่ เช่น บางทีรถอาจจะรายงานว่า อีกสามกิโลจะถึงจุดที่รถติดเผื่อสำหรับจะเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน
แม้ว่าเครื่องนี้จะมีความสามารถดูหนัง ฟังเพลงได้ แต่แท็กซี่ที่ญี่ปุ่นจะไม่นิยมเปิดเพลงหรือดูข่าว (พูดแล้วนึกถึงรถแท็กซี่ไทยบางคัน จะเปิดเพลงที่เราไม่ชอบไปตลอดทาง) บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าคนญี่ปุ่นชอบเงียบๆ มากกว่าที่จะฟังเสียงอะไร
ค่าแท็กซี่ในโตเกียว
ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2017
แท็กซี่ในโตเกียว ได้ปรับราคาเป็น
1052 เมตรแรก 410 เยน
ทุก 237 เมตรต่อไป 80 เยน
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเตือนกันคือ แท็กซี่ที่ญี่ปุ่นเวลาดึกๆ จะคิดค่าบริการเพิ่มอีก 20-30% ที่นี่เรียกว่า「二割」(niwari:20%)「三割」(sanwari:30%)โดยหลังห้าทุ่มไปรถแท็กซี่ปกติจะชาร์จเพิ่ม 20% แต่ถ้าจับพลัดจับผลูไปขึ้นรถแท็กซี่ส่วนบุคคลอาจจะเจอชาร์จ 30% ได้ ฟังดูแล้วไม่ค่อยแฟร์ แต่ก็คงจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ค่าแท็กซี่ช่วงกลางคืนนี้เรียกว่า「深夜料金」(shinya-ryoukin)
แต่บางทีคนขับก็จะบอกก่อนขึ้นว่า ตอนนี้ถ้าจะขึ้นจะชาร์จเท่าไหร่ ฟังคนขับอธิบายเป็นวิทยาทานแล้ว ก็ต้องร้องว่า “มิน่าล่ะ” ขึ้นมา เพราะไอ้ครั้งแรกที่ผมขึ้นแท็กซี่ก็คือ ตอนที่มัวแต่เที่ยวเพลินจนดึก ตอนนั้นอาศัยอยู่หอพักนักเรียนต่างชาติอยู่ที่โอไดบะ เกาะที่ถมจากกองขยะนี่แหละครับ ทีนี้หนทางที่จะข้ามไปเกาะนั้นก็มีไม่มาก ไม่ข้ามสะพานก็ต้องข้ามอุโมงค์ใต้ทะเล ผมเลยเรียกรถแท็กซี่ที่คอสะพานให้ข้ามไปส่งที่โอไดบะซึ่งอยู่อีกฟากสะพาน
ตอนนั้นคงแจ็คพ็อต ไปเจอแท็กซี่「失格」(shikkaku)เพราะไม่รู้ทางขึ้นสะพานเป็นลุงแก่ๆ ก็เอา ยอมขึ้นไป ลุ้นแบบหืดขึ้นคอทุกระยะที่มันวิ่งเลยครับ เพราะว่าไอ้สะพานเส้นนี้ไม่ธรรมดา มันจะต้องมีวนเป็นวงกลมก่อนเพื่อไต่ระดับความสูงให้เท่ากับสะพานซึ่งสูงมาก กว่าจะข้ามสะพานเสร็จค่ารถก็ปาเข้าไปสามพันเยนแล้วครับ
สาเหตุส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเจอชาร์จนี่เอง ผมเลยต้องบอกแท็กซี่หยุดรถที่คอสะพานอีกด้านด่วน ไม่ต้องวิ่งต่อแล้ว ไม่งั้นคงต้องจ่ายอีกพันเยน หลังจากนั้นผมก็เดินเอาครับ เพราะปัญหาคือ ไอ้สะพานเส้นนี้สูงมาก เลยเดินข้ามไม่ได้ แต่ในเมื่อข้ามมาแล้ว ก็ต้องเดินเท้าประหยัดทรัพย์ไว้ก่อน
สรุปว่า งานนี้เป็นบทเรียนราคาแพงครับ จำไว้เลยว่าอย่าเที่ยวดึก (อ้อ แล้วก็อย่าคิดว่าเพื่อนที่ไปเที่ยวดึกกับเรา จะชวนเราไปค้างที่บ้านแบบคนไทยนะครับ เพราะเขาแค่ชวนมา แต่กลับบ้านนี่ตัวใครตัวมัน)
ก่อนลงจากแท็กซี่ สามารถขอใบเสร็จรับเงินกับคนขับได้โดยบอกว่า「領収書をください」(ryoushuusho o kudasai;領収書:ryoushuusho:ใบเสร็จรับเงิน) คนขับรถจะปรินต์ใบเสร็จรับเงินออกมาให้
เรื่องการขอใบเสร็จถือว่าสะดวกกว่าเมืองไทยมาก เพราะมีมาตรฐาน คนที่ทำงานบริษัทสามารถขอไปเบิกเงินคืนจากบริษัทได้ หรือคนที่มีเงินอุดหนุนค่าเดินทางต่างๆ ก็สามารถใช้ใบเสร็จของรถแท็กซี่ได้เช่นกัน ถ้าคนขับเขียนใบเสร็จเองแบบเมืองไทยก็จะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
ในต่างจังหวัดก็มีแท็กซี่วิ่งเช่นกัน ราคาจะถูกกว่าในโตเกียว ที่ไหนที่เดินทางลำบาก ผู้โดยสารสามารถโทรเรียกให้มารับได้ โดยแท็กซี่ที่วิ่งต่างจังหวัดมักจะวิ่งระยะไกล จึงอาจจะมีการชาร์จระยะทาง หรือ ค่าตีรถเปล่าเพื่อมารับผู้โดยสาร
ถ้ามาญี่ปุ่นแล้วมากันสักสี่คน ขึ้นแท็กซี่ก็ไม่แพงครับเพราะหารๆ กันแล้วก็ไม่แตกต่างจากรถบัสหรือรถไฟแต่อาจจะต้องทนรถติดสักหน่อย ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่สัมภาระมาก หรือคนที่จะไปที่ที่รถปกติไปไม่ถึง
คำศัพท์รู้ไว้ใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นกับ อ.ปมโปโกะ อ่านเพิ่มเติม คลิกที่นี่
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารการศึกษาวันนี้ คอลัมน์เรียนจากป้ายสไตล์ญี่ปุ่น
- เรียนต่อญี่ปุ่น หลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะยาว
- เรียนต่อญี่ปุ่น หลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะสั้น
ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นเจเอ็ดดูเคชั่น
เป็นสำนักงานในประเทศไทยของสถาบันโดยตรง แนะแนวศึกษาต่อญี่ปุ่นทุกระดับ โดยศิษย์เก่าญี่ปุ่น ดำเนินการสมัคร เรียนต่อญี่ปุ่น ครบครันทุกขั้นตอน โดยไม่คิดค่าดำเนินการใด ๆ รวมถึงค่าส่งเอกสารไปที่ญี่ปุ่น
ปรึกษาเรื่องเรียนต่อญี่ปุ่น โทร. 02-665-2969, 02-258-3983
email : ask@jeducation.com
ขอข้อมูลเพิ่มเติม คุยกับเจ้าหน้าที่ คลิกเลย >> https://bit.ly/jed-line