คุยกับชาร์ต : ขับรถเที่ยวในญี่ปุ่น ไม่ยากอย่างที่คิด
สวัสดีปีใหม่ครับทุกท่าน เข้าสู่ปี 2018 แล้ว
หลายคนอาจจะเริ่มวางแผนจัดทริปเที่ยวของปีกันแล้ว
และคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ญี่ปุ่นก็ยังครองแชมป์เป็นจุดหมายปลายทางที่คนไทยนิยมไปมากที่สุดอีกที่ใช่มั้ยครับ
ว่ากันว่าเวลาคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก มักจะมุ่งไปที่โตเกียว เพื่อหาแสงสี หรือเกียวโต-โอซาก้า สำหรับคนที่ชอบไปเดินวัดดื่มด่ำวัฒนธรรม
พอครั้งที่สองคนจะเริ่มสนใจเมืองที่เล็กลงมาอย่าง ซัปโปโรในฮอกไกโด หรือฟุกุโอกะในคิวชู ซึ่งเราจะสามารถสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นได้มากกว่าเมืองใหญ่ๆ และแน่นอน การที่จะไปที่เหล่านั้นแบบเที่ยวเองก็อาจจะต้องใช้สกิลที่สูงขึ้นไปอีก
เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของป้ายบอกทางต่างๆที่มีภาษาอังกฤษให้เห็นได้น้อยลง หรือผู้คนในพื้นที่ที่พูดอังกฤษได้ไม่คล่องเท่าในเมืองใหญ่ๆ
รวมไปถึงการเดินทางที่อาจไม่ได้มีรถไฟครอบคลุมทั่วถึง ด้วยปัญหาเหล่านี้จึงทำให้การขับรถเที่ยว หรือ “Road Trip” กลายเป็นทางออกที่ดี
พักหลังเราจะเห็นได้ว่าการ ขับรถเที่ยวในญี่ปุ่น เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนไทย
ซึ่งแรงจูงใจหลักมาจากการคมนาคมที่ไม่สะดวกสบายในชนบทอย่างในคิวชู หรือโอกินาว่าเองที่ Peach Air ก็พึ่งได้เปิดไฟลท์บินตรงด้วยโปรโมชั่นกระหน่ำที่อาจจะหาจองได้ในราคาสี่พันกว่าบาท
นอกจากนี้ หลายคนเวลาไปเทียวก็ไปกันเป็นครอบครัวใหญ่ จะให้พ่อแม่มีอายุแล้วเดินขึ้นลงรถไฟ หรือจูงลูกหลานหลบฝูงชนก็ดูจะลำบาก เลยเกิดไอเดียที่ว่าหารถตู้หรือรถครอบครัวสักคันนั่งรวมกันจะสะดวกขึ้นเยอะครับ
จริงๆแล้วจะว่าไปการเช่ารถขับเที่ยวในญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมในหมู่คนญี่ปุ่นเองแต่ไหนแต่ไร เพราะอะไร เรามาดูเหตุผลกันครับ
1⃣เราสามารถวางแพลนการเทียวเราได้อย่างอิสระ หลายคนรู้สึกอึดอัดเวลาไปเที่ยวกับทัวร์ที่ต้องเดินตามแผนที่ถูกวางเอาไว้
บางครั้งอยากอยู่ที่นี่นานหน่อย ที่นั่นสั้นลงก็หงุดหงิดไม่สามารถปรับได้ตามใจ การขับรถเที่ยวจะช่วยตอบโจทย์ตรงนี้เพราะเรายังสามารถแวะชิมอาหารที่ไหนก็ได้หรืออยากอยู่ถ่ายรูปที่ไหนนานๆก็ไม่ต้องเกรงใจใครครับ
2⃣ เราสามารถวางแผนการเที่ยวที่ไม่เหมือนใครได้ ทริปทัวร์โดยส่วนใหญ่ก็จะมีแผนการเดินทางที่คล้ายๆกันไม่ว่าจะไปกับทัวร์ไหนโดยมักจะพาลูกค้าไปในที่ดังๆหรือฮอตสปอตของแต่ละจังหวัด
แต่จริงๆแล้วญี่ปุ่นยังมีอีกหลายที่ที่สวยงาม เงียบสงบ และสามารถสัมผัสความเป็นโลคอลได้มากกว่าที่ที่มีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินไปมา
การขับรถเที่ยวเองก็จะสามารถทำให้เราเลือกไปในที่ที่แตกต่างไปจากทัวร์ได้ครับซึ่งเจ้าระบบ GPS ที่แม่นยำของญี่ปุ่นจะช่วยอำนวยความสะดวกให้เราไปถึงที่หมายต่างๆได้อย่างง่ายดายหายห่วงครับ
3⃣เหตุผลข้อสุดท้ายนี้สำหรับคนรักรถรักการขับรถครับ บริษัทเช่ารถในญี่ปุ่นจะมีสีสันมากกว่าที่อื่นอยู่จุดนึงตรงที่มีรถให้เลือกเช่าอยู่หลากหลายประเภท ตั้งแต่อีโคคาร์คันเล็กสำหรับสายประหยัด รถตู้แบบครอบครัว หรือรถโฟร์วีลสำหรับสายลุย
ซึ่งจะช่วยเพิ่มสีสันในการขับรถบนท้องถนนให้กับผู้เช่า รถที่วิ่งอยู่ในญี่ปุ่นหลายรุ่นยังมีขายเฉพาะในญี่ปุ่น
และนอกจากนี้หลายที่ยังให้บริการเช่ารถสปอร์ตสองประตูสำหรับสายซิ่งหรือ รถเปิดประทุนเอาไว้ขับกินลมสวีทสำหรับคู่แฟนซึ่งสามารถหาเช่าได้ทั่วไปในราคาตกวันละไม่กี่พันบาทครับ
หลายคนพออ่านประโยคนี้จบแล้วคงเริ่มมีภาพในหัวถึงการขับรถเปิดประทุนรับลมริมทะเลในโอกินาว่าแล้วสิครับ…
แต่ถ้าจะให้พูดถึงแต่ข้อดีก็ดูจะเป็นการโฆษณาขายฝันเกินไปหน่อย ถึงแม้การขับรถในญี่ปุ่นจะชิดซ้ายเหมือนขับในบ้านเราทำให้เราไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก แถมค่าเช่ายังถูกแสนคุ้ม
ทำให้หลายคนวิ่งกรูเข้าร้านเช่ารถ แต่ก็อยากจะเตือนมือใหม่ว่ามีหลายสิ่งที่
เราควรรู้ควรพึงระวังซึ่งคอลัมน์นี้ได้รวบรวมข้อผิดพลาดที่คนมัก “เผลอ” ไว้ให้
เพราะหลายคนโดนค่าปรับมหาศาลหรือต้องติดคุกโดยไม่รู้ตัว
ทำให้จากทริปในฝันกลายเป็นทริปสยองไปทันทีครับ
1. อย่างแรกเลย ผู้ที่จะขับรถในญี่ปุ่นต้องมีอายุเกิน 18 ปีบริบูรณ์และมีใบขับขี่นานาชาติหรือ International Driving Permit (IDP) ซึ่งการขับรถในญีปุ่นนั้นเป็นการขับแบบชิดซ้ายโดยเก้าอี้คนขับอยู่ฝั่งขวาซึ่งไม่ต่างจากที่ไทยครับ
2. ญี่ปุ่นมีการจำกัดความเร็วของการขับรถตามพื้นที่ อาทิเช่น ห้ามขับเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนทางด่วน ห้ามเกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในพื้นที่เมือง และห้ามเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในที่อื่นๆ
พอเห็นตัวเลขเหล่านี้หลายคนอาจบ่นใจว่าทำไมช้าจัง แต่อยากจะบอกว่าขับที่โน่นขับช้าไว้เถอะครับเพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเจอค่าปรับทีจะต้องหนาวแน่ๆ
3. ผู้ขับรถและผู้โดยสารทุกคนต้องคาดเข็มขัดระหว่างนั่งโดยเฉพาะเมื่อรถวิ่งอยู่บนทางด่วน และเด็กที่มีอายุต่ำกว่าหกขวบจะต้องใช้เก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก
4. ห้ามใช้โทรศัพท์ระหว่างขับขี่ ใครติดโซเชียล ติดไลน์ ระวังข้อนี้ไว้นะครับ
5. ห้ามขับขี่ขณะเมาสุรา ซึ่งหากเราถูกตรวจโดยการเป่าลมหายใจแล้วพบแอลกอฮอล์ เราอาจโดนติดคุกได้สูงถึงสามปีหรือเสียค่าปรับสูงถึง 500,000 เยน เลยนะครับ
ซึ่งหากเราไปชนใครเข้าโดยจะบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ตาม เราอาจติดคุกขังลืมยาวได้ถึงสิบห้าปี
ถึงแม้ทุกคนจะรักญี่ปุ่น แต่ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอยู่ญี่ปุ่นยาวด้วยวิธีนี้นะครับ
6. ป้ายบอกทางในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีเขียนทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ สัญญาณจราจรต่างๆส่วนใหญ่จะเป็นสัญญาณตามมาตรฐานที่ใช้กันระดับนานาชาติ
ถ้าใครพอมีเวลาศึกษา แนะนำให้ลองเข้าไปดูตามลิ้งนี้ให้คุ้นตาก่อนลงสนามจริงครับ ???? คลิกที่นี่
7. จอดรถได้ในบริเวณที่เตรียมไว้เท่านั้น หากเราจอดในที่ห้ามจอดอาจเสียค่าปรับอัตราสูงได้
อย่างที่รู้กันครับ การจอดรถตามเมืองใหญ่ๆในญี่ปุ่นนั้นมีค่าจอดที่แสนแพงโดยเราอาจจะเสียค่าจอดได้ถึงชั่วโมงละหลายร้อยเยนซึ่งราคาจะลดหย่อนตามขนาดเมืองและความห่างจากย่านใจกลางเมือง ตามชนบทหรือเมืองเล็กๆ ส่วนใหญ่แล้วค่าจอดจะฟรีครับ
และในส่วนของอุทยานแห่งชาติหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจะเก็บแบบเหมาจ่ายโดยมักจะอยู่ที่สองร้อยหรือห้าร้อยเยนต่อคัน
นอกจากนี้ ตามโรงแรมในเมืองเองก็มักจะคิดค่าจอดรถแบบเหมาจ่ายกับแขกที่มาใช้บริการโดยจะอยู่ที่ราวๆหนึ่งพันเยนต่อคืน ในส่วนของโรงแรมตามชนบทนั้นมักจะฟรีครับ
*หมายเหตุ หลายคนคงเคยเห็นที่จอดรถในญี่ปุ่นมีตู้มีปุ่มกดมากมายดูน่ากลัวเลยขอเสริมวิธีการใช้ที่จอดรถด้วยครับ โดยทั่วไปให้เราขับรถเข้าไปจอดในช่องที่ว่าง
เมื่อเราจอดแล้วจะมีแผงกั้นขึ้นมาขั้นใต้รถเล็กน้อยซึ่งก่อนขับออกให้เราไปจ่ายเงินที่ตู้ให้เรียบร้อย และเมื่อเราจ่ายเงินแล้ว แผงกั้นก็จะลดต่ำลงเพื่อให้เราขับออกไปได้ครับ
8. หยุดรถทุกครั้งที่เจอทางรถไฟ อย่างที่ทราบกันดีว่าญี่ปุ่นเต็มไปด้วยรถไฟซึ่งก็หมายถึงว่าจะต้องมีหลายจังหวะที่รถต้องขับข้ามทางรถไฟ
ซึ่งโดยกฎหมายเมื่อเราขับมาถึงทางรถไฟแล้วจะต้องหยุดรถหนึ่งครั้ง มองซ้ายมองขวาให้มั่นว่าข้ามไปได้แล้วจึงวิ่งรถต่อ
นอกจากนี้เวลาขับรถให้ระวังจักรยานด้วยนะครับ เพราะที่นี่จักรยานก็เป็นพาหนะยอดฮิตและมีวิ่งให้เห็นได้ทั่วไปไม่น้อยไปกว่ามอเตอร์ไซค์ในบ้านเราครับ
9. เติมน้ำมันให้ถูกต้อง ปัจจุบันจำนวนปั๊มน้ำมันแบบ Self-Service หรือที่เรียกกันง่ายๆว่าแบบเติมเองมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆซึ่งหากเรายังไม่มั่นใจในสกิลภาษาญี่ปุ่นของเรา
แนะนำให้ไปใช้แบบ Full-Service หรือแบบที่มีคนเติมให้อย่างในบ้านเราดีกว่าครับ เพื่อให้เรามั่นใจว่าเราได้เติมน้ำมันไปถูกประเภท
10. ใช้ทางด่วนให้เป็น ทางด่วนในญี่ปุ่นจะมีการใช้ระบบ Electronic Toll Collection System (ETC) ซึ่งรถจะสามารถขับผ่านได้เลยโดยไม่ต้องหยุด
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆแล้วให้วิ่งเข้าช่องธรรมดาหรือ “一般” ซึ่งเราจะสามารถชำระค่าผ่านทางได้โดยใช้เงินสดหรือเครดิตการ์ดในบางที่ครับ
หลังจากที่ได้อ่านคอลัมน์คุยกับชาร์ตประจำเดือนนี้แล้ว มั่นใจว่าหลายคนคงอยากลองด้วยตัวเองและพร้อมที่จะไปโรดทริปในญี่ปุ่นแล้ว ฉะนั้นเข้าเว็บไซต์เลือกรถคู่ใจแล้ววางแพลนตะลุยหน้าหนาวได้เลยครับ!
คุณสืบศิษฏ์ ศานติศาสน์ หรือชาร์ต นักเรียนเก่าญี่ปุ่น ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนเพียงเท่านั้น แต่ชีวิตที่ประเทศญี่ปุ่นเต็มไปด้วยประสบการณ์นอกห้องเรียน รวมไปถึงประสบการณ์ในวงการบันเทิงของญี่ปุ่น! ลองอ่านดูแล้วจะรู้ว่า เส้นทางสู่การเป็นนักเรียนที่ญี่ปุ่น เรียนต่อญี่ปุ่น รวมถึงการหาทุนการศึกษา ไม่ยากเลย ถ้าตั้งใจและพยายาม
การศึกษาที่ญี่ปุ่น | – ปริญญาตรี : นักศึกษาแลกเปลี่ยนมหาวิทยาลัยซากะ (Saga University)
// ผ่านโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างชาติ SPACE ทุนที่ได้รับคือ ทุน JASSO International Student Scholarship for Short-Term Study in Japan // ได้รับทุน JASSO Honors Scholarship พร้อมกับ Shundoh International Scholarship |
การทำงาน | – ปัจจุบันทำงานให้กับธนาคารญี่ปุ่นในประเทศไทย ดูแลส่วนงานธุรกิจระหว่างประเทศไทย-ญี่ปุ่น – งานอดิเรกเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจและการลงทุนในไทยและอาเซียนให้กับบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consulting) ในประเทศญี่ปุ่น |
- บทสัมภาษณ์ชาร์ต.. สืบศิษฏ์ ศิษย์เก่า ม.โตเกียวกับประสบการณ์สุดคุ้มนอกห้องเรียน
- อ่านคอลัมน์คุยกับชาร์ตตอนอื่น ๆ
ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นเจเอ็ดดูเคชั่น
เป็นสำนักงานในประเทศไทยของสถาบันโดยตรง แนะแนวศึกษาต่อญี่ปุ่นทุกระดับ โดยศิษย์เก่าญี่ปุ่น ดำเนินการสมัคร เรียนต่อญี่ปุ่น ครบครันทุกขั้นตอน โดยไม่คิดค่าดำเนินการใด ๆ รวมถึงค่าส่งเอกสารไปที่ญี่ปุ่น
ปรึกษาเรื่องเรียนต่อญี่ปุ่น โทร. 02-665-2969, 02-258-3983
email : ask@jeducation.com
ขอข้อมูลเพิ่มเติม คุยกับเจ้าหน้าที่ คลิกเลย >> https://bit.ly/jed-line