บันทึกประสบการณ์ของน้องKhowphun ผู้ชนะจากการแข่งขันตอบปัญหาภาษาญี่ปุ่น
J-Challenge #10 กับการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
ที่โรงเรียน Nihon Rikou Jouhou Senmon Gakkou จังหวัด โอซาก้า วันที่ 13 ที่ญี่ปุ่น..
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ปุ้นจะได้ออกไปเที่ยวเพราะวันพรุ่งนี้จะต้องกลับไทยแล้ว วันนี้ปุ้นตื่นตั้งแต่หกโมง วันนี้ปุ้นต้องรีบออกจากบ้าน เพราะวันนี้ปุ้นจะไปเที่ยวเกียวโตกับมิ้น แต่ปุ้นเกิดท้องเสียขึ้นมาเลยออกจากบ้านช้าเลย กว่าจะมาถึงอุเมดะก็แปดโมงแล้ว พอเจอมิ้นเราก็รีบไปขึ้นรถไฟเพื่อไปยังเกียวโต ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเรา สถานที่แรกที่เราไปกันคือฟูชิมิอินาริ เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเกียวโต โดยจุดเด่นของศาลเจ้านี้คือเสาโทริอิสีแดงที่เรียงรายกันเป็นพันต้น ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยมากๆ พวกเราถ่ายรูปกันอยู่ซักพัก แล้วก็ขึ้นรถไฟไปยังสถานที่ต่อไปคือวัดน้ำใสหรือ คิโยมิซุเดระ
ก่อนที่จะถึงวัดน้ำใสนั้นเรียกว่าเดินกันจนขาลากเลยที่เดียวเพราะต้องเดินขึ้นเนินท่ามกลางอากาศร้อนจัด ระหว่างทางปุ้นกับมิ้นจึงต้องแวะร้านสะดวกซื้อ เพื่อซื้อน้ำและไอศกรีมมากินดับร้อน จนในที่สุดก็เดินมาจนถึงตัววัดจนได้ แม้จะร้อนขนาดไหนคนก็ยังมาเที่ยวที่วัดเยอะมาก เราเสียค่าเข้าไปยังตัวอุโบสถใหญ่กันคนละห้าร้อยเยน ถือว่าคุ้มค่ามากเพราะตัวอุโบสถใหญ่เป็นแบบเปิดโล่งมีลมพัดเย็นสบายมาก วิวข้างนอกก็เป็นป่าเขียวชอุ่มสวยมากๆเลย
พอเดินออกมาจากตัวอุโบสถก็จะมีบันไดทางลงไปยังจุดที่มีน้ำไหลลงมาเป็นสายให้คนที่มาเที่ยวที่วัดได้ตักดื่มเป็นสิริมงคลกับชีวิตกัน แต่ปุ้นกับมิ้นไม่ได้ไปดื่มเพราะคนต่อคิวกันยาวมากๆ เลยได้แต่ถ่ายรูปกันอยู่พักนึงแล้วก็เดินออกจากวัด ตอนออกมาจะมีทางเดินลงเนินอีกทางที่เป็นคนละทางกับตอนเดินขึ้นมา ซึ่งทางลงเนินทางนี้สองข้างทางจะมีร้านของฝากเรียงรายเยอะแยะไปหมด แต่ปุ้นก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลยเพราะตังใกล้หมดเลยเดินดูอย่างเดียว
และแล้วก็ได้เวลาไปยังจุดหมายต่อไปคือวัดเงินหรือกิงคะคุจิ พวกเราไปถึงแถวๆวัดตอนประมาณเที่ยงๆแล้ว เลยแวะกาข้าวกินกัน มื้อกลางวันวันนี้เป็นอุด้งเนื้อ อร่อยมากๆ แถมเจ้าของร้านยังชวนพวกเราคุยแบบเป็นกันเองอีกด้วย พอกินกันอิ่มแล้วก็เดินไปจนถึงทางเข้าวัด แต่ต้องเสียค่าเข้าหกร้อยเยน ปุ้นกับมิ้นเลยตัดสินใจไม่เข้าวัดเงิน เพราะไปอ่านรีวิวในเน็ตมาเขาบอกว่าไม่ค่อยมีอะไร ไว้เอาเงินไปเสียที่วัดทองดีกว่า
สุดท้ายเลยออกมาขึ้นรถไฟไปวัดทองหรือคินคะคุจิกันต่อ พอมาถึงวัดทอง ก็ต้องเสียเงินค่าเข้ากันคนละสี่ร้อยเยน แต่มันคุ้มค่าเงินนะคะ เพราะวัดทองเค้าสวยจริงๆ มันทองจริงๆค่ะ ยิ่งสะท้อนแสงแดดนี่ดูเป็นประกายมากๆค่ะ แถมในวัดยังมีสวนให้เดินด้วย ได้บรรยากาศไปอีกแบบ พวกเราอยู่ในวัดทองร่วมชั่วโมง แล้วมาซื้อของฝากไปฝากโฮสตรงใกล้ๆทางออกวัด แล้วนั่งรถเมล์เพื่อไปลงที่สถานีที่จะไปยังสถานที่่สุดท้ายของวันนี้ นั่นก็คืออาราชิยามะ รถไฟที่เรานั่งไปยังอาราชิยามะนั้นเรียกได้ว่าเป็นรถไฟแบบโลคอลสุดๆ คือมีแค่โบกี้เดียว สถานีที่จอดเป็นสถานีเล็กๆ ได้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ดี เพราะปกติรถไฟที่ญี่ปุ่นจะดูทันสมัยมากๆ
พอมาถึงอาราชิยามะ ปุ้นถึงกับงงเลยทีเดียว เพราะภาพที่ปุ้นนึกไว้คืออาราชิยามะมันจะต้องมีแต่ป่า ไม่ค่อยมีร้านขายของ แต่พอมาถึงจริงๆแล้วมันดูดีมากๆเลย ตัวสถานีสวยมากๆ มีร้านอาหารร้านขายของ แต่ก็ยังคงความเป็นธรรมชาติไว้ได้ ที่ที่เราตั้งใจจะไปกันคือป่าไผ่ที่อาราชิยามะ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินพอสมควร ประมาณสิบห้านาทีในที่สุดก็มาถึงป่าไผ่ ซึ่งมีต้นไฝ่เรียงรายมากมายสมชื่อป่าไผ่เลย เราก็เดินถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆจนสุดทางแล้วก็เดินออกมา เพื่อที่จะไปขึ้นรถไฟกลับไปยังโอซาก้า ซึ่งทางมากับทางกลับเป็นคนละทางกัน ระหว่างทางกลับจะต้องเดินผ่านฝายเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีภูเขาลูกใหญ่สีเขียวชอุ่มเป็นฉากหลัง ตรงนั้นคือลมเย็นสบายมากจนไม่อยากเดินต่อเลย พอเดินไปเรื่อยประมาณยี่สิบนาทีก็จะมีถึงสถานีฮังคิวอาราชิยามะ ซึ่งสามารถนั่งรถไฟจากที่นี่เข้าไปที่โอซาก้าได้เลย
เย็นนี้ปุ้นไม่ได้ตรงกลับบ้านแบบทุกวันแต่วันนี้ปุ้นไปกินข้าวเย็นที่บ้านโฮสแฟมมิลี่ของมิ้น เย็นนี้ปุ้นได้ช่วยมิ้นทำอาหารไทยด้วย มีพะโล้กับลาบ บอกเลยว่านี่เป็นการเข้าครัวทำอาหารครั้งแรกของปุ้นเลย มิ้นให้ปุ้นช่วยหั่นผักซึ่งปุ้นก็หันออกมาใหญ่ไป แล้วก็ให้หันตับซึ่งก็หั่นออกมาหนาไปอีก555 ส่วนที่เหลือมิ้นเป็นคนทำ รสชาติอร่อยเลยแหละ วันนี้ลูกสาวโฮสบ้านมิ้นพาเพื่อนมาด้วยอีกสองคน โฮสก็เตรียมอาหารไว้เยอะมาก พวกเราก็ไปคุยไปเพลินมากๆ จนถึงเวลาประมาณสามทุ่มครึ่งก็ได้เวลาต้องกลับบ้านแล้ว เพราะถ้าไม่กลับตอนนี้ปุ้นต้องพลาดรถเมล์แน่ๆ เลยขอกลับก่อน
ที่นี่มีเพื่อนของลูกสาวโฮสคนนึงจะกลับแล้วเหมือนกันเลยเดินออกมาพร้อมกันเลย แล้วก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆจนถึงสถานีรถไฟ พอขึ้นรถไฟแล้วก็ยังคุยกันต่อแต่เพื่อนลูกสาวโฮสต้องลงจากรถไฟก่อนปุ้น เลยร่ำลากันไป แล้วปุ้นก็นั่งรถไฟต่อจนถึงสถานีโซเนะ แล้วก็ขึ้นรถเมล์ทันอย่างฉิวเฉียด วันนี้กลับถึงบ้านเกือบห้าทุ่ม เลยขอโทษโฮสใหญ่เลย แล้วก็เล่าให้โฮสฟังว่าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง แล้วก็ขอตัวไปอาบน้ำ แล้วก็เก็บกระเป๋าเดินทาง เพื่อที่จะเตรียมตัวกลับไทยพรุ่งนี้ กว่าจะจัดกระเป๋าเสร็จก็เป็นเวลาตีหนึ่งพอดี ด้วยความที่เพลียมากปุ้นจึงรีบปูที่นอนแล้วล้มตัวลงนอนหลับไปเลย