ปิดเทอมทั้งที เที่ยวอย่างเดียวจะดีหรอ?? ไป WWOOF Japan ดีกว่า (ตอนที่ 1)
BY FAAI

WWOOF ช่วงปิดเทอม

หลังจากเปิดเรียนไป 3 เดือน ผ่านทั้งการสอบกลางภาคและสอบวัดระดับ JLPT ไปแล้ว ก็ถึงเวลาพักผ่อนที่หลายคนรอคอย ที่โรงเรียน KICL จะปิดเทอมหน้าร้อนช่วงกลางเดือนก.ค. – กลางเดือน ส.ค. ประมาณ 1 เดือน

ถ้าใครมีงานพิเศษทำแล้ว ช่วงนี้ก็จะเป็นช่วงโกยชั่วโมงทำงานก็ว่าได้ เพราะช่วงนี้ ส่วนใหญ่เพื่อนร่วมงานจะลากลับประเทศกัน ถ้าใครไม่กลับก็ได้ชั่วโมงเพิ่มไปเลยเต็มๆ  (อ่ะๆ แต่ก็ยังคงต้องอยู่ใน 28 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ตามที่กฎหมายกำหนดนะ  / ช่วงปิดเทอมทำได้วันละไม่เกิน 8 ชั่วโมง  )

ส่วนคนที่ยังไม่มีงานพิเศษทำ จะกลับไทยก็ยังรู้สึกเร็วไปสำหรับคนที่เพิ่งมาเรียนได้แค่ 3 เดือน แต่ถ้าจะให้เที่ยวอย่างเดียว ก็อาจจะรู้สึกว่าอาจจะลืมภาษาได้ แถมยังต้องใช้เงินค่าเดินทางอีกเยอะ ถ้าอย่างนั้น ปิดเทอมหน้าร้อนไปไหนดีล่ะ????

แล้วความคิดก่อนมาญี่ปุ่น ที่ว่า ” ถ้ามีโอกาสสักครั้งก็จะไปทำ WWOOF ที่ญี่ปุ่น ให้ได้ !!!! ” ก็หวลกลับมา

หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักว่า  WWOOF  คืออะไร เพราะขนาดคนญี่ปุ่นเองบางคนก็ยังไม่ค่อยรู้จักกับโครงการนี้เท่าไหร่ ย้อนกลับไปที่ครั้งแรกที่รู้จักกับคำนี้ มาจากการอ่านหนังสือ อยู่ญี่ปุ่นอย่างหมาป่า ที่บอกเล่าเรื่องราวของคนที่เข้าร่วมโครงการ WWOOF คาบเกี่ยว 2 ฤดูกาล 4 ฟาร์ม 4 ภูมิภาค แบบอยู่ดี กินฟรี ไม่เสียตังค์

จะเรียกว่าเป็นการอยู่กับคนญี่ปุ่นแบบโฮมสเตย์ก็ไม่เชิง เพราะเป็นโครงการสนับสนุนสวนผัก ผลไม้ หรือฟาร์มออร์แกนิคในญี่ปุ่น โดยจะมีเจ้าของฟาร์มเป็นคนรับสมัครให้

วูฟเฟอร์ คือ ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการเข้าไปทำงานตามที่โฮสต์บอก เพื่อแลกกับอาหาร และที่อยู่ ซึ่งถ้าโชคดีโฮสต์บางคนจะมีการพาไปเที่ยว หรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วย ซึ่งโครงการนี้มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคที่ญี่ปุ่นและเปิดรับตลอดทั้งปีเลยแหละ พออ่านปุ๊ปตั้งใจไว้เลยว่ามีโอกาสต้องไปให้ได้ แล้ววันนี้ก็ได้มาเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วจะรอช้าทำไม

แต่… ต้องขอเตือนก่อนค่ะว่า

วีซ่านักเรียน ที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานพิเศษ  สามารถเข้าร่วมโครงการ WWOOF ได้

แต่คนไทยที่มาญี่ปุ่นด้วย วีซ่าท่องเที่ยว หรือไม่มีวีซ่า   การทำงานใดๆ  ไม่ว่าจะเป็นการทำเพื่อแลกกับเงิน หรือแลกกับที่พัก อาหารฟรี ก็ตาม ถือว่าผิดกฎหมายของญี่ปุ่นนะคะ 

 

ว่าแล้วก็สมัครสมาชิกเลย

ก่อนอื่นต้องเข้าไปสมัครสมาชิกก่อนที่ https://www.wwoofjapan.com/main/index.php?lang=en  แล้วเลือก Become a WWOOFer ก็จะเจอหน้าให้กรอกข้อมูล

สมัครเข้าร่วม WWOOF

 

ซึ่งการสมัครสมาชิกนั้นเราจะต้องกรอกข้อมูลค่อนข้างเยอะ เพราะทางโครงการเขาอยากให้โฮสต์สามารถรู้ข้อมูลเราได้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจะได้เลือกโฮสต์และรับวูฟเฟอร์ที่ต้องการจริงๆ จะทำให้เราเห็นข้อมูลต่างๆของโฮสต์มากขึ้นกว่าก่อนสมัคร ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นว่าเราไม่ชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่รู้มาก่อนพอไปอยู่จริง ก็จะเกิดความลำบากใจขึ้น ดังนั้นกรอกข้อมูลตามความจริงไปเลยค่า และการสมัครจะทำให้เราสามารถส่งข้อความติดต่อคุยกับโฮสต์ได้ค่ะ

พอกรอกเสร็จด้านล่างจะมีให้เลือกว่าเราจะเป็นสมาชิก WWOOF แบบไหน มีหลายเรทหลายแบบให้เลือกนะคะ ว่าจะไปคนเดียวหรือมีใครไปด้วย และสามารถเลือกได้ว่าเราจะให้การเริ่มเป็นวูฟเริ่มเลย หรือเริ่มหลังจากสมัคร 2 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน / 2 เดือน / 3 เดือน/  6 เดือน  เพื่อให้อายุสมาชิกอยู่ได้นานขึ้นค่ะ ( อายุสมาชิกวูฟ 1 ปี เริ่มนับตามวันที่เราเลือกว่าจะให้เริ่มภายในกี่อาทิตย์ค่ะ ไม่ได้เริ่มนับวันที่เราสมัคร )

อย่างเราเริ่มสมัครกลางเดือน 6 แต่เราปิดเทอมและสามารถเริ่มทำวูฟได้ช่วงวันที่ 20 ก.ค. – 16 ส.ค. เราเลยเลือกแบบที่ 1 Adult start in 1 month ราคา 5,500 เยน โดยการสมัคร 1 ครั้งจะไปวูฟกี่ที่ก็ได้ค่ะ ภายในระยะเวลา 1 ปี

แผนการ WWOOF ที่สามารถสมัครได้

แต่ถ้าใครที่ยังไม่แน่ใจว่าไปดีมั้ย หรือแค่อยากลองเซอร์เวย์ข้อมูลอย่างเดียวก่อนเพราะไม่อยากเสียค่าสมาชิกก็สามารถดูข้อมูลเบื้องต้นได้เช่นกัน

ในเว็บไซด์จะบอกค่อนข้างละเอียดถึงขนาดว่าบ้านโฮสต์ มีผู้หญิง ผู้ชายกี่คน มีเลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง กี่ตัว สูบบุหรี่ กินเหล้ามั้ย ใช้อินเตอร์เน็ตได้รึเปล่า โฮสต์พูดภาษาอะไรได้บ้าง คนที่ไปเป็นวูฟเฟอร์จำเป็นต้องพูดภาษาญี่ปุ่นได้มั้ย ลักษณะงานที่ทำเป็นยังไง เลยค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ ข้อมูลหน้าตาคร่าวๆประมาณนี้ค่ะ

หลังจากสมัครสมาชิกแล้วก็ถึงเวลาหาโฮสต์กันแล้ว ลักษณะงานส่วนใหญ่จะเป็นการทำฟาร์มผลไม้ อาจจะเป็นในส่วนการเก็บผลผลิต ทำแยม ทำคาเฟ่ ร้านอาหาร ทำขนมปังหรืองาน Craft อื่นๆ แตกต่างกันไป โดยเราเลือกไปที่ฟุกุโอกะ เพราะเป็นเมืองที่เคยอ่านรีวิวแล้วรู้สึกอยากไปเที่ยวสักครั้ง จะได้อาศัยโอกาสไปทำวูฟครั้งนี้ เที่ยวฟุกุโอกะไปเลยในตัว

โดยวูฟที่เลือกมีฟาร์มองุ่น สตอเบอรี่ สาลี่ ลูกพีช และร้านขายของในบริเวณฟาร์ม ซึ่งเป็นโฮสต์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย เพราะเรายังร็สึกว่าภาษาญี่ปุ่นเรายังไม่ค่อยแข็งแรง กลัวไปแล้วคุยกับเขาไม่ได้เลยยังไม่เลือกโฮสต์ที่เป็นพูดได้แต่ภาษาญี่ปุ่น และพอดูในช่อง Feedback ก็พบว่าโฮสต์นี้ชาวต่างชาติไปมาเยอะมากและรีวิวดีมาก เราเลยคิดว่าต้องรอดแน่นอน

หลังจากดำเนินการเลือกโฮสต์แล้วก็ให้ส่งข้อความถึงโฮสต์ได้เลยค่ะ แจ้งไปว่าเราจะไปเมื่อไหร่ นัดแนะเวลา สถานที่นัดหมายที่ให้โฮสต์มารับได้ที่ Messege ตามรูปนี่เลยค่า โฮสต์บางคนอาจจะตอบช้าหน่อยนะคะ ไม่ต้องตกใจไป หลังจากนัดหมายเรียบร้อย อย่าลืมถามโฮสต์เรื่องอุปกรณ์ที่เราต้องเตรียมไปพิเศษ เช่น รองเท้าบูท เสื้อแขนยาว ถุงมือ ฯลฯ เพื่อที่พอถึงเวลาจะได้ไม่ต้องลำบากวิ่งหาซื้อฃ

 

และที่สำคัญอีกอย่างคืออย่าลืมปริ้นเอกสารยืนยันการเป็น WWOOFER PERMIT ของเราได้วยนะคะ เพราะโฮสต์จะขอดูเวลาเจอกัน ป้องกันความผิดพลาดและการแอบแฝงค่ะ แต่ก็มีโฮสต์บางคนไม่ขอดูเหมือนกันนะคะ แต่ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าค่ะ

หลังจากเราตกลงกับโฮสต์แล้วว่าจะทำเป็นเวลา 2 อาทิตย์ เราก็มีเตรียมของฝากติดไม้ติดมือไปตามธรรมเนียมญี่ปุ่น ซึ่งถ้าเป็นของเกี่ยวกับประเทศตัวเองจะยิ่งทำให้น่าสนใจมากขึ้น อย่างเช่น เครื่องแกงไทยๆ เหล้าหรือเบียร์ไทย (คนญี่ปุ่นชอบดื่มเบียร์ เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นของขวัญที่คนญี่ปุ่นชอบ) เป็นต้น

ที่สำคัญที่สุด ห้ามลืม คือ ครีมกันแดด เพราะการไปทำวูฟหน้าร้อนคงไม่ค่อยจะดีกับผิวของสาวๆอย่างเราเท่าไหร่ ที่เหลือคือการเตรียมใจไปเจอกับการพูดและทำงานตลอด 2 อาทิตย์ด้วยภาษาญี่ปุ่นว่าจะรอดมั้ย เพราะตัวเราเองในใจก็มีความคิดอีกด้านมาต้านว่าจะดีหรอไปทำงานกลางแดด จะอยู่ได้มั้ย

แต่สุดท้ายเราก็คิดแล้วว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนอกจากได้เที่ยวและใช้ชีวิตอยู่กับคนญี่ปุ่นเต็มๆ 2 อาทิตย์ มันจะช่วยให้เราไม่ลืมภาษาญี่ปุ่นตลอดช่วงปิดเทอม ทำให้มีโอกาสได้ฝึกพูด ฝึกฟังมากขึ้น ได้เปิดประสบการณ์ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้รู้วัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นจริงๆว่าเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน ได้รู้จักอีกครอบครัวนึง และอาจจะได้รู้จักวูฟชาติอื่นที่มาทำพร้อมกัน ซึ่งอาจจะทำให้เราไม่เหงาตลอดการปิดเทอม แถมยังประหยัดค่าอาหาร ค่าที่พักอีกโอกาสดีๆแบบนี้ เราเลยคิดว่ายังไงก็ต้องรอด สู้ ^^

วันแรกที่ไปถึงฟุกุโอกะ โฮสต์นัดมารับที่ป้ายรถบัส Hirokawa Bus stop เรามาถึงเร็วไปนิดนึง แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามาถูกที่มั้ย เลยตัดสินใจโทรหาโฮสต์เพื่อความชัวร์ ซึ่งก็ถูกที่แล้วจ้า พอโฮสต์มารับระหว่างทางป้ายรถไปบ้านโฮสต์ เราก็มีพูดคุยกันเรื่องทั่วๆไป

ซึ่งเราก็สอดส่องระหว่างทางว่ามีร้านค้า หรือที่เที่ยวอะไรมั้ยไปในตัว ปรากฏว่ามีแต่ฟาร์มและทุ่งนาจ้า ในใจแอบคิดแล้วว่าแย่แล้ว ดูไกลด้วย ไม่รอดแน่นอน จะได้เที่ยวมั้ยเนี่ย หรือต้องทำงานอย่างเดียว แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไรมันต้องมีลู่ทางแหละ

พอมาถึงบ้านโฮสต์ โฮสต์ก็พาแนะนำให้รู้จักกับคนในครอบครัวทีละคน พาดูร้าน บ้าน และห้องพักพร้อมบอกกฎเกณฑ์ของการเป็นวูฟที่นี่ หลักๆคือ เราต้องทำงาน 8.00 – 12.00 น. และ 13.30-17.00 น. หยุดวันอังคารและวันศุกร์ ใน 1 วันเราอาบน้ำได้ตอนเย็นอย่างเดียวตั้งแต่ 17.00 – 18.30 น.

ส่วนอาหารการกินทางโฮสต์ทำให้ทุกมื้อ แต่ต้องล้างจานเอง ซึ่งที่พักก็เป็นห้องประมาณ 6 เสื่อ แยกให้ 1 ห้องสำหรับวูฟโดยเฉพาะ มีแอร์และไวไฟให้ใช้ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าบ้านพักโอเค อย่างน้อยคุยกับโฮสต์รู้เรื่องแล้ว แต่ยังมีความกังวลเรื่องงานและวันหยุดที่เราแพลนไว้ว่าอยากเที่ยวจะทำยังไง ทำงานจะทำได้มั้ย

แต่สุดท้ายวันแรกก็จบไปด้วยมื้อเย็นพร้อมการต้อนรับ พูดคุยเรื่องต่างๆอย่างอบอุ่นจากโฮสต์   ตอนหน้าเราจะมาแชร์ให้ฟังหลังจากครบการทำงาน 2 อาทิตย์นะ ว่าการทำวูฟครั้งแรกของเราจะสนุกและมันส์ หรือเศร้าเคล้าน้ำตาขนาดไหน

อ่านต่อคลิกที่นี่ค่ะ 

 

โรงเรียนที่ฝ้ายไปเรียน
Kyoto Institute of Culture and Language (KICL)


อ่านบทความจากฝ้ายย้อนหลัง >> click


 

ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นเจเอ็ดดูเคชั่น
เป็นสำนักงานในประเทศไทยของสถาบันโดยตรง  แนะแนวศึกษาต่อญี่ปุ่นทุกระดับ โดยศิษย์เก่าญี่ปุ่น  ดำเนินการสมัคร เรียนต่อญี่ปุ่น ครบครันทุกขั้นตอน  โดยไม่คิดค่าดำเนินการใด ๆ รวมถึงค่าส่งเอกสารไปที่ญี่ปุ่น

ปรึกษาเรื่องเรียนต่อญี่ปุ่น โทร. 02-665-2969, 02-258-3983
email : ask@jeducation.com

ขอข้อมูลเพิ่มเติม คุยกับเจ้าหน้าที่ คลิกเลย  >> https://bit.ly/jed-line

Scroll to Top