ประสบการณ์สอบชิงทุนเรียนต่อญี่ปุ่น ฟรี 100%

ทุนมหาวิทยาลัยฮอกไกโด โดยศุภากร ศุภผลถาวร (ส้ม)  

นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัย Hokkaido University สาขา Integrated Science Program ( ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน) ซึ่งสอบชิง ทุนมหาวิทยาลัยฮอกไกโด มหาวิทยาลัยระดับท็อปของญี่ปุ่น

 

ทุนมหาวิทยาลัยฮอกไกโด

 

 เตรียมตัวเพื่อสอบเข้า ISP ที่ Hokkaido University อย่างไรบ้าง

เตรียมอ่านและฝึกทำข้อสอบที่ใช้ยื่นสมัคร ซึ่งตอนยื่นใช้ SAT Math+Critical Reading (ไม่มี essay) กับ TOEFL iBT ก็ลองหาตัวอย่างมาดูว่าข้อสอบจะออกยังไง ซึ่งจริงๆ คะแนนสอบไม่ได้สำคัญขนาดนั้น การคัดเลือกนักเรียนจะดูที่ Personal statement ของเรามากกว่า Personal statement จะเป็นส่วนสำคัญที่บอกอาจารย์ว่าเราเป็นคนยังไง มีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์มากน้อยแค่ไหน

 

ทำไมถึงเลือกเรียนสาขานี้

จริงๆ อยากเรียนธรณีวิทยาค่ะ แต่ก็แอบสนใจดาราศาสตร์อยู่แล้วด้วย แล้วมหาวิทยาลัยเปิด แค่ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ตอนปริญญาโทก็ค่อยไปต่อ Geophysics หรือ Astrophysics ตามความสนใจของเราตอนนั้นเอา เหมือนเคยได้ยินแว่วๆ มาด้วยว่าเราเลือกทำวิจัยตอนปีท้ายๆ กับสาขาอื่นได้ เลยคิดว่าเรียนฟิสิกส์ก็ไม่เลว เราเอาไปต่อยอดอะไรได้เยอะด้วย

 

เล่าวิธีการสอบเข้าให้หน่อยค่ะ

เริ่มจากการสมัครและไปสอบข้อสอบที่เราต้องใช้คะแนนเพื่อยื่นค่ะ อย่างที่บอกไปด้านบน เวลาสมัครสอบอย่าลืมกรอกโค้ดให้ทางศูนย์สอบส่งคะแนนไปให้ทางมหาวิทยาลัยโดยตรงด้วย น่าจะมีรายละเอียดอยู่ในประกาศรับสมัครแล้ว อย่าลืมตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนด้วยว่าทางมหาวิทยาลัยรับคะแนนอะไรบ้าง

นอกเหนือจากการสอบก็เขียน Personal statement ส่งพร้อมกับใบสมัคร เอกสารสำคัญต่างๆ ตามประกาศรับสมัคร แล้วก็คะแนนสอบ (ในกรณีที่เคยสอบไว้แล้ว) ค่ะ รู้สึกว่าจะต้องส่งทั้งออนไลน์และ hard copy ให้มหาวิทยาลัย

ระวังเรื่องเอกสารดีๆ นะคะ ตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนส่ง มิฉะนั้นจะเสียค่าส่งที่ค่อนข้างแพงในการส่งเอกสารหลายรอบ ตอนที่ส่งเอกสารก็มาส่งกับ Jeducation ได้เลย *ส่งฟรี* ตอนแรกไม่รู้ว่าทางนี้ส่งได้ เลยไปส่งกับเอกชนซึ่งแพงมาก และใช้เวลานำส่งค่อนข้างใกล้เคียงกันคือ 2-3 วัน

 

คิดว่าเพราะอะไรถึงได้รับการคัดเลือกเข้าเรียนและได้รับ ทุนมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ด้วย

จากที่เขียน Personal Statement ไป คิดว่าประเด็นที่เราใส่เข้าไปเยอะเลยคือเรื่องความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก เล่าให้หมดว่าเราไปทำกิจกรรมอะไร มีส่วนร่วมกับวิทยาศาสตร์ยังไงบ้าง แล้วอาจารย์น่าจะเห็นจากที่เขียนว่าเรามี passion ในการเรียนด้านนี้ ประกอบกับที่โรงเรียนมัธยมปลายของเราเน้นวิทยาศาสตร์มาตรงๆ เลยด้วย ก็เลยเอาจุดนั้นมาเขียนทำให้ทุกคนรับรู้ว่าเราชอบวิทยาศาสตร์และต้องการทำงานสายนี้จริงๆ

 

การเรียนการสอนเป็นอย่างไรบ้าง

เนื่องจากโปรแกรมนี้เป็น ป.ตรีควบ ป.โท 5 ปี จึงทำให้เทอมแรกวิชาเรียนค่อนข้างหนัก เพราะเหมือนเราต้องเก็บวิชาปี 1 ให้หมดภายใน 1-2 เทอม ทางโปรแกรมเลยให้เราอัดไป 28 หน่วยกิตในเทอมแรก ก็บอกเลยว่ายากค่ะ เยอะด้วย งานหนักมาก แต่โชคดีที่วิชาเทอมแรกเป็นเหมือนการทบทวนวิชาเรียนตอนมัธยมปลาย เลยยังพอไปต่อไหว

ส่วนเทอม 2 จะถือว่าเราเข้าภาควิชาแล้ว เทียบเท่านักเรียนญี่ปุ่นปี 2 ก็มีวิชาภาคของเราเข้ามา อย่างตอนนี้ก็เรียนฟิสิกส์ที่เจาะลึกลงไปมากกว่าตอนมัธยม หลักสูตรของโปรแกรมก็จะให้เราเลือกวิชาเลือกได้ตอนเทอม 2 เป็นต้นไป ตอนนี้ในตารางก็มีชีววิทยามาแทรกด้วย 1 วิชา

การเรียนการสอนในห้อง อาจารย์สอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ในห้องมีแค่นักเรียนในโปรแกรมหรือบางทีอาจจะมีนักเรียนต่างชาติจากโปรแกรมอื่นสนใจมาลงเรียนด้วย ยกเว้นวิชาที่ต้องเข้าห้อง lab ทำการทดลองจะเรียนกับนักเรียนญี่ปุ่น ซึ่งมี TA คอยอธิบายเป็นภาษาอังกฤษให้

ตารางเรียนแต่ละวันมี 5 คาบ เริ่มตั้งแต่ 8.45 เรียน 90 นาที พัก 15 นาที แล้วก็มีพักเที่ยงตอน 12.00-13.00 จากนั้นก็หมดคาบสุดท้ายที่ 18.00 ที่นี่นอกจากจะแบ่งเป็น 2 ภาคการศึกษาแล้ว แต่ละภาคการศึกษายังแบ่งเป็น 2 เทอมย่อย (Spring กับ Summer term ใน Spring-Summer semester และ Fall กับ Winter term ใน Fall-Winter semester) ซึ่งมีบางวิชาที่เรียนแค่ 1 เทอมย่อย แล้วพอเปลี่ยนเป็นอีกเทอมก็จะเปลี่ยนเป็นอีกวิชาหรือแล้วแต่เราเลือกลงเรียน ทำให้บางครั้งมีสอบใหญ่ถึง 4 ครั้งใน 1 ภาคการศึกษาเลยทีเดียว

นอกจากนี้ทางโปรแกรมบังคับให้ลงเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วย (สำหรับคนไม่มีคะแนน JLPT) โดยเทอมแรกเรียน 2 ตัว เทอมสองเรียน 1 ตัว เทอมต่อไปก็จะเรียนอีก 1 ตัว เป็นภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้นให้พอเอาชีวิตรอดได้เพราะคนที่นี่ไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่

 

ฝากถึงผู้ที่กำลังคิดไปเรียนปริญญาตรีหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ญี่ปุ่นให้หน่อยค่ะ

คำถามที่คนมักจะถามช่วงก่อนที่จะมาคือ “ไม่กลัวลืมภาษาอังกฤษเหรอ” บอกเลยค่ะว่าไม่ลืมแน่นอน ใช้ตลอด ใช้ทุกวัน ใช้เยอะกว่าภาษาไทยอีก มาอยู่นี่อังกฤษดีขึ้นเยอะเลยค่ะ แถมเรายังได้ภาษาที่สามด้วย หลายคนอาจจะคิดว่าเครียดแน่ๆ เรียนทั้งวิทย์ทั้งภาษา แต่สำหรับเราคือไม่เครียดเลย วิชาภาษาเหมือนเป็นการพักผ่อนคลายเครียดจากวิชาหนักๆ มากกว่า

เรื่องการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นอาจจะลำบากในช่วงแรกถ้าเราไม่รู้ภาษาเค้าเลย แต่อยู่ไปซักพักก็รู้สึกว่าการใช้ชีวิตที่นี่สนุกดีค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้อินกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากขนาดนั้นแต่การใช้ชีวิตที่นี่ก็ไม่อึดอัดเลยสำหรับเรา

นอกจากนี้มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยเปิดโปรแกรมภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนต่างชาติเท่าไหร่ โดยเฉพาะวิชาสายวิทย์นี่นับได้เลยว่ามีกี่มหาลัย ที่สำคัญยังให้ทุนนักเรียนหลายทุนด้วย ยิ่งเป็นที่ฮอกไกโด ถ้าเปรียบเทียบในญี่ปุ่นกันเอง ซัปโปโรเองก็ถือเป็นเมืองที่ค่อนข้างเอื้อต่อการมาเรียนต่อ เพราะเป็นเมืองใหญ่แต่ค่าครองชีพไม่แพงเท่าเมืองใหญ่อื่นๆ ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ในการมาใช้ชีวิตและเรียนต่อในมหาวิทยาลัยระดับ Top 10 ของญี่ปุ่นแบบนี้ค่ะ

 


 

ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อประเทศญี่ปุ่นเจเอ็ดดูเคชั่น
สำนักงานหลักสูตร Modern Japanese Studies Program และ Integrated Science Program ประจำประเทศไทย ของ มหาวิทยาลัยฮอกไกโด

ติดต่อสอบถาม – สมัครเรียน
โทร. 02-267-7726

อาคารลิเบอตี้สแควร์ (ปากซอยคอนแวนต์) ชั้น 23
เลขที่ 287 สีลม บางรัก กทม. 10500
สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง / MRT สีลม

ส่งคำถามทางแบบฟอร์ม :: http://bit.ly/ask-hokudai

Scroll to Top